ธนาคารมีสิทธิหักเงินจากบัญชีลูกหนี้บัตรเครดิต
มีท่านผู้อ่านหลายท่านใช้บริการบัตรเครดิต หรือที่ภาษากฎหมายเรียกว่า การออกเงินทดรองไปก่อน และบัตรเงินด่วน หรือที่ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเรียกว่า สินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งหนี้ทั้งสองประเภทเป็นหนี้ที่คนชั้นกลาง ลูกจ้าง ชอบก่อหนี้ จึงทำให้ในประเทศไทยมีผู้ใช้บัตรเครดิตหลาย 10 ล้านใบ และบางคนมีบัตรเครดิตถึง 15 ใบ หรืออย่างน้อยก็ประมาณ 5 ใบ
มีท่านผู้อ่านหลายท่านใช้บริการบัตรเครดิต หรือที่ภาษากฎหมายเรียกว่า การออกเงินทดรองไปก่อน และบัตรเงินด่วน หรือที่ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเรียกว่า สินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งหนี้ทั้งสองประเภทเป็นหนี้ที่คนชั้นกลาง ลูกจ้าง ชอบก่อหนี้ จึงทำให้ในประเทศไทยมีผู้ใช้บัตรเครดิตหลาย 10 ล้านใบ และบางคนมีบัตรเครดิตถึง 15 ใบ หรืออย่างน้อยก็ประมาณ 5 ใบ
การก่อหนี้ดังกล่าวเป็นการก่อหนี้ที่เกินตัว ทำให้มีภาระที่ต้องชดใช้หนี้ต่อเดือนเป็นรายจ่ายประจำ คิดเป็นอัตราส่วนเกินกว่า 30% ของรายได้ประจำทั้งหมด ทำให้กระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้
วิธีการที่นิยมกันในการแก้ไขปัญหาหนี้บัตรเครดิต คือ การนำเงินจากบัตรหนึ่งมาชำระหนี้ให้อีกบัตรหนึ่ง หมุนเวียนกันไป เหมือนงูกินหาง สุดท้ายก็ไปไม่รอด เพราะดอกเบี้ยผิดนัดของสินเชื่อส่วนบุคคลสูงถึง 28% บัตรเครดิตถึง 20% ลูกหนี้ส่วนใหญ่หาเงินมาใช้หนี้ไม่ทัน ถึงแม้จะชำระขั้นต่ำ 5% หรือ 10% ก็ตาม ทำให้เกิดปัญหาหนี้เสียในระบบ
ธนาคารพยายามทวงหนี้เท่าไรลูกหนี้ก็ไม่มีจ่าย เพราะไม่รู้ว่าจะไปหาเงินที่ไหนมาชำระหนี้ วิธีที่ธนาคารเจ้าหนี้กำลังนิยมทำกันคือ หากตรวจพบว่าลูกหนี้บัตรเครดิต มีการนำเงินมาฝากในบัญชีของธนาคารเจ้าหนี้บัญชีใดบัญชีหนึ่ง หากบังเอิญตรวจพบธนาคารเจ้าหนี้จะทำการหักเงินจากบัญชีของลูกหนี้ทันที โดยหักทั้งหมด เพื่อนำมาชำระหนี้ให้ครบถ้วน ทำให้ลูกหนี้ที่เป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่มีเงินจะใช้ หลังจากที่นายจ้างโอนเงินเข้าบัญชีของลูกหนี้ที่เป็นลูกจ้าง ทำให้ลูกหนี้ได้รับความเดือดร้อน จนมีลูกหนี้ไปฟ้องต่อศาลหลายคดีแต่ก็แพ้หมด
เนื่องจากมีข้อสัญญาตอนที่ไปขอสินเชื่อ กำหนดไว้ชัดเจนว่า ลูกหนี้ยินยอมให้ธนาคารเจ้าหนี้หักเงินจากบัญชีของลูกหนี้ได้ หากลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้
ข้อตกลงดังกล่าวไม่ขัดต่อกฎหมายจึงใช้บังคับได้ ซึ่งปัจจุบันศาลฎีกาได้วางบรรทัดฐานไว้เกี่ยวกับการหักเงินในบัญชีของลูกหนี้ในธนาคาร ในคำพิพากษาฎีกาที่ 10969/2555 รายละเอียดของคำพิพากษาศาลฎีกามีดังต่อไปนี้
ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยเป็นลูกค้าบัตรเครดิตโจทก์ คือ บัตรเครดิตไทยพาณิชย์ มาสเตอร์การ์ด และบัตรเครดิตไทยพาณิชย์ โพธิ์วีซ่า จำเลยได้นำบัตรเครดิตทั้งสองบัตรที่โจทก์ออกให้ไปใช้เงินสดในการชำระค่าซื้อสินค้า ชำระค่าบริการและเบิกถอนเงินสดหลายครั้ง สำหรับบัตรเครดิตไทยพาณิชย์ มาสเตอร์การ์ด มีการใช้บัตรครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2548 หลังจากนั้นโจทก์ระงับการใช้บัตร โจทก์ส่งใบแจ้งยอดรายการใช้บัตรเครดิต โดยกำหนดให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวภายในวันที่ 13 มิ.ย. 2548 ตามใบแจ้งยอดการใช้บัตรเครดิตเอกสารหมาย จ.5 แผ่น 47 ส่วนบัตรเครดิตไทยพาณิชย์ โพธิ์วีซ่าทอง จำเลยใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2548 หลังจากนั้นโจทก์ระงับการใช้บัตร โจทก์ส่งใบแจ้งยอดรายการใช้บัตรเครดิต โดยกำหนดให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวภายในวันที่ 13 ก.ย. 2548 ตามใบแจ้งยอดรายการใช้บัตรเครดิตเอกสารหมาย จ.9 แผ่นที่ 28 ต่อมามีรายการชำระหนี้บัตรเครดิตข้างต้นหลายรายการ
คดีนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ 2 ปี หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า การรับสภาพหนี้ต้องทำเป็นหนังสือและมีลายมือชื่อของผู้รับสภาพหนี้เป็นสำคัญ แต่รายการชำระหนี้บัตรเครดิตเกิดขึ้นภายหลังโจทก์ระงับการใช้บัตรเครดิตแล้ว จำเลยหาได้ให้ความยินยอมด้วยไม่ และเกิดขึ้นโดยโจทก์หักเงินผ่านบัญชีของจำเลยตามอำเภอใจ เป็นการกระทำของโจทก์ฝ่ายเดียว หาใช่นิติกรรมสองฝ่ายที่จำเลยตกลงด้วยไม่ ไม่ถือเป็นการรับสภาพหนี้และชำระหนี้ อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลง อายุความคดีนี้จึงสะดุดหยุดลงนับแต่วันที่จำเลยใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายนั้น
เห็นว่าเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงอันเกิดจากการกระทำของลูกหนี้อาจเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ รวมไปถึงการชำระหนี้บางส่วน ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 สำหรับหนี้บัตรเครดิตไทยพาณิชย์ มาสเตอร์การ์ด ข้อเท็จจริงปรากฏตามใบคำขอเป็นสมาชิกบัตรเครดิตพร้อมสัญญาการใช้บัตรเครดิต เอกสารหมาย จ.4 ว่า จำเลยตกลงชำระหนี้บัตรเครดิต โดยยินยอมให้โจทก์หักเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของจำเลย และสัญญาการใช้บัตรเครดิต ข้อ 20 และข้อ 9.1 ระบุว่า หากมีการยกเลิกการใช้บัตรเครดิตไม่ว่าด้วยประการใด ให้ถือว่าเป็นการยกเลิกการใช้บัตรเครดิตเท่านั้น มิใช่เป็นการยกเลิกสัญญา
และหากปรากฏว่ามียอดเงินเป็นลูกหนี้โจทก์ จำเลยตกลงที่จะชำระหนี้โดยให้โจทก์หักเงินจากบัญชีชำระหนี้ได้ ดังนั้น การที่โจทก์หักเงินจากบัญชีออมทรัพย์ของจำเลย เพื่อชำระหนี้ดังปรากฏตามใบแจ้งยอดรายการบัตรเครดิต จึงเป็นกรณีที่จำเลยยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามข้อตกลงนั่นเอง หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์หักเงินจากบัญชีของจำเลยตามอำเภอใจไม่
อีกทั้งจำเลยชำระหนี้บัตรเครดิตดังกล่าวให้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2549 ส่วนหนี้บัตรเครดิตไทยพาณิชย์ โพธิ์วีซ่าทอง ชำระหนี้บัตรเครดิตดังกล่าวครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2548 จำนวน 2.8 หมื่นบาท
ย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ด้วยความสมัครใจ จึงเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ จึงยังไม่พ้นกำหนด 2 ปี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ


