posttoday

เช่าซื้อรถยนต์แบบลีสซิง เลิกสัญญาแล้วไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่า

15 เมษายน 2553

 

 

.....เดชา กิตติวิทยานันท์

 

ผมขอนำเสนอคดีที่บริษัทการค้าได้เช่ารถยนต์มาใช้ในการทำธุรกิจ เช่น รถประจำตำแหน่งผู้บริหาร รถของเจ้าหน้าที่ฝ่ายขาย รถส่งของ ซึ่งจ่ายเช่าเป็นรายเดือนให้กับบริษัทลีสซิง เมื่อปีที่แล้วศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาไว้เป็นบรรทัดฐานสำหรับคดีลีสซิง โดยมีการวินิจฉัยไว้เป็นประโยชน์ต่อผู้เช่ารถมาทำธุรกิจ

สาระสำคัญคือ เมื่อเลิกสัญญาเช่าแล้ว บริษัทลีสซิงจะอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่า มาเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระไม่ได้

นอกจากนี้ หลังจากขายทอดตลาดรถที่มีการยึดมาแล้ว ถ้าศาลคำนึงถึงส่วนได้เสียทุกอย่างแล้ว ถึงแม้บริษัทลีสซิงจะอ้างว่าไม่คุ้มกับค่าเสียหายที่บริษัทลีสซิงได้รับและเรียกค่าเสียหายจากผู้เช่า

ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยว่า ผู้เช่าไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเพิ่มเติมอีก ถึงแม้จะมีข้อกำหนดในสัญญาว่า ผู้เช่าต้องชำระก็ตาม โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อสัญญาดังกล่าวมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งศาลมีอำนาจในการที่จะใช้ดุลยพินิจลดลงได้

คำพิพากษาคดีนี้เป็นคำพิพากษาที่คุ้มครองสิทธิผู้บริโภค รายละเอียดของคำพิพากษามีดังนี้

คำพิพากษาฎีกาที่ 2431/2552

โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยที่ 1 โดยชอบ และยึดรถยนต์ที่ให้เช่าคืนจากจำเลยที่ 1 สัญญาเช่ากับระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ย่อมสิ้นสุดลง คู่สัญญาเช่าแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง โจทก์จะอาศัยสัญญาเช่ามาฟ้องเรียกค่าเช่าที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระอีกมิได้ จะเรียกได้ก็แต่เพียงค่าที่จำเลยที่ 1 ได้ใช้ประโยชน์จากรถยนต์ที่เช่าตลอดระยะเวลาจำเลยที่ 1 ครอบครองรถยนต์อยู่ตาม มาตรา 391 วรรคสาม เท่านั้น

สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นการเช่าแบบลีสซิง โดยเมื่อครบกำหนดระยะเวลาเช่า โจทก์มีภาระผูกพันต้องให้จำเลยที่ 1 มีสิทธิเลือก ซื้อรถยนต์ที่เช่าได้ในราคาถูกกว่าราคาในท้องตลาดเป็นการตอบแทน

โจทก์เป็นแหล่งเงินทุนประกอบธุรกิจหากำไรจากการให้เช่ารถยนต์หรือให้เช่าซื้อ จึงน่าเชื่อว่าในการกำหนดค่าเช่าแบบลีสซิง ซึ่งโจทก์จะต้องคำนวณค่าซื้อรถยนต์และค่าดอกเบี้ยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าด้วย

ดังนั้น ค่าเช่ารายเดือนที่โจทก์กำหนดไว้ในสัญญาเช่าแบบลีสซิงจึงน่าจะสูงกว่าค่าเช่าตามสัญญาเช่าแบบธรรมดา แม้ตามสัญญาเช่าจะระบุไว้ว่าถ้าจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนด โจทก์มีสิทธิเรียกค่าทดแทนโดยถือว่าค่าเช่าทั้งหมดถึงกำหนดชำระ และโจทก์อาจฟ้องเรียกเงินค่าเช่าทั้งหมดและเงินอื่นๆ ซึ่งถึงกำหนดชำระ และซึ่งจะถึงกำหนดชำระในภายหน้าตามสัญญาเช่าก็ตาม

แต่ข้อสัญญาดังกล่าวถือได้ว่าเป็นข้อสัญญาที่กำหนดความรับผิดในการที่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ไว้ล่วงหน้าจึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับถ้าหากกำหนดไว้สูงเกิน ส่วนศาลอาจลดลงเป็นจำนวนที่พอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง

การที่จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญาเช่าอันเป็นเหตุให้โจทก์ต้องบอกเลิกสัญญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะไม่ได้รับเงินค่าเช่าที่ยังค้างอีก 18 เดือน จากจำเลยที่ 1 กับไม่ได้รับเงินค่าขายรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 จะใช้สิทธิเลือกซื้อ รวมเป็นเงินจำนวน 1,121,585 บาท แต่โจทก์สามารถยึดรถยนต์ที่ให้เช่าคืนมาจากจำเลยที่ 1 และประมูลขายรถยนต์คันดังกล่าวไปในราคา 567,196.26 บาท อันเป็นการบรรเทาความเสียหายของโจทก์ส่วนหนึ่ง ซึ่งเมื่อนำมารวมกับค่าเช่าที่โจทก์ได้รับจากจำเลยที่ 1 ก่อนบอกเลิกสัญญาจำนวน 1,243,200 บาท จึงรวมเป็นเงินที่โจทก์ได้รับแล้วทั้งสิ้น 1,810,396.26 บาท

ได้ความจากคำเบิกความของ จ. ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ว่า รถยนต์ที่ให้เช่ามีราคาเงินสด 1,682,242.99 บาท ซึ่งถือได้ว่าเป็นเงินลงทุนของโจทก์ เมื่อนำเงินลงทุนของโจทก์มาหักออกแล้ว โจทก์จะมีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นเงินจำนวน 128,153.27 บาท

นอกจากนี้ หลังจากยึดรถยนต์ที่ให้เช่าคืนมาแล้วนับถึงวันประมูลขายเป็นเวลา 2 เดือน 12 วัน โจทก์สามารถนำรถยนต์คันดังกล่าวออกให้เช่าหาผลกำไรได้อีกส่วนหนึ่ง

ดังนี้ เมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียทุกอย่างของโจทก์แล้ว จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์อีก

ตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 383 ถ้าเบี้ยปรับที่ริบนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ ในการที่จะวินิจฉัยว่าสมควรเพียงใดนั้น ท่านให้พิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่แต่เพียงทางได้เสียในเชิงทรัพย์สิน เมื่อได้ใช้เงินตามเบี้ยปรับแล้ว สิทธิเรียกร้องขอลดก็เป็นอันขาดไป

นอกจากกรณีที่กล่าวไว้ในมาตรา 379 และ 382 ท่านให้ใช้วิธีเดียวกันนี้บังคับ ในเมื่อบุคคลสัญญาว่าจะให้เบี้ยปรับเมื่อตนกระทำหรืองดเว้นกระทำการอันหนึ่งอันใดนั้นด้วย

มาตรา 391 เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม แต่ทั้งนี้จะให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของบุคคลภายนอกหาได้ไม่

ส่วนเงินอันจะต้องใช้คืนในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น ท่านให้บวกดอกเบี้ยเข้าด้วย คิดตั้งแต่เวลาที่ได้รับไว้

ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้และเป็นการยอมให้ใช้ทรัพย์นั้น การที่จะชดใช้คืน ท่านให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้นๆ หรือถ้าในสัญญามีกำหนดว่าให้ใช้เงินตอบแทน ก็ให้ใช้ตามนั้น

การใช้สิทธิเลิกสัญญานั้นหากกระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายไม่ m

***ข้อมูลจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา พ.ศ. 2552 เล่ม 3

ข่าวล่าสุด

Adobe Firefly รวมพลังโมเดลสร้างวีดีโอ สู่การใช้งาน Runway