ของในโรงแรม
เรื่องที่จะมาเล่าให้อ่านเนี่ยไม่ได้ชื่นชมหรอกนะ แต่เป็นเรื่องที่ได้ยินมาอีกทีถึงความหัวใสของคน (ไทย)
โดย...ปู โลกเบี้ยว
เรื่องที่จะมาเล่าให้อ่านเนี่ยไม่ได้ชื่นชมหรอกนะ แต่เป็นเรื่องที่ได้ยินมาอีกทีถึงความหัวใสของคน (ไทย) เราอ่ะน่ะ พวกคุณไกด์เขาเล่าให้ฟังอีกทีอ่ะจ๊ะ ก็เป็นเรื่องของความอยากได้อยากมีอยากเป็นของมนุษย์เนี้ยแหละ
เวลาที่เราไปพักตามโรงแรมต่างๆ ไอ้พวกของกระจุกกระจิกในห้องน้ำ พวกสบู่ แชมพู ยาสีฟัน ครีมทาผิว หวี หมวกอาบน้ำ อันน้อยๆ ที่ทางโรงแรมเขาวางไว้บริการนักท่องเที่ยวเนี่ย ใครอยากเก็บเป็นที่ระลึกกลับบ้านเขาก็ไม่ว่าใช่มั้ย แต่ถ้าเป็นพวกผ้าเช็ดตัวเช็ดเท้าเนี่ย เขาเก็บสตางค์ ส่วนพวกน้ำชากาแฟและขนม น้ำอัดลมและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เบาๆ เล็กๆ ไว้ทั้งในและนอกตู้เย็นในห้องพักใช่มั้ยค่ะ ถ้าแขกที่มาพักรับประทานก็จะเสียเงินค่าของเหล่านั้น แล้วแพงกว่าที่ซื้อหาได้ตามปกติหลายเท่าที่เดียว อย่างเช่น โค๊ก เป๊ปซี่ งี้จากกระป๋องล่ะสิบกว่าบาทก็เป็นร้อย ถ้าในต่างประเทศแล้วยิ่งแพงใหญ่ ขนมขบเคี้ยวถุงหนึ่งก็ยี่สิบสามสิบตามท้องตลาด แต่ถ้ามาอยู่บนตู้เย็นก็ปาเข้าไปเกือบร้อยงี้ ยกเว้น พวกชากาแฟซองเล็กๆ ไม่กี่ซองที่เขาบริการให้ฟรี
คนเราก็นะอยากกินอยากแค่ชิมไอ้เจ้าขนมกรอบๆ แปลกตาในถุงที่เขาวางล่อเอาไว้หลังตู้เย็น แต่ไม่อยากเสียสตางค์ไง ก็ค่อยๆ แกะตามรอยเย็บของถุงพอที่จะเอาขนมออกมาได้ชิ้นสองชิ้น ชิมสมใจแล้วก็เอาที่เป่าผมในห้องน้ำมาเป่าลมเข้าไปในถุงแล้วใช้สกอตช์เทปใสๆ ปิดอีกที เนียนซะไม่มีเชียว พนักงานเข้ามาตรวจความเรียบร้อย ตรวจข้าวของเครื่องใช้ที่ต้องให้แขกที่พักเสียเงินค่าบริการเหล่านี้ เข้ามาก็ดูแบบผาดๆ ไม่ได้ดูละเอียดนักหรอก เพราะส่วนใหญ่แล้วรีบไง แขกรอเช็กเอาต์อยู่ พวกแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดก็ไม่ได้สนใจ ปัดกวาดเช็ดถูกันไป กว่าจะรู้บางทีก็ปาเข้าไปเป็นเดือนอ่ะ
แหม...พวกคุณเธอมาเล่าอย่างมีชัยชนะ หัวเราะคิกคัก คุณพี่ไกด์บอกหัวใจจะวาย ถ้าเขาจับได้ละก็ ผมคงไม่มีเงาหัวเข้ามาใช้บริการอีกแน่ แต่ก็ยังมีแขกอีกหลายรายที่เสียเงินกับข้าวของเหล่านี้ที่ทางโรงแรมเขาจัดเอาไว้ด้วยความไม่รู้ก็เลยต้องเสียสตางค์ก็มีนะ ในตู้เย็นเขาจะแช่น้ำอัดลมและน้ำเปล่าน้ำแร่ราคาแพงๆ เอาไว้ชิมิ ถ้าเราหยิบมาบริโภค เราต้องเสียเงิน แพงซะด้วยดิ
สมัยก่อนแขกอยู่หลายวัน หยิบของเขาไปกินแล้วก็ออกไปซื้อตามซูเปอร์มาร์เก็ตมาวางใช้ในตู้เย็นให้เขา แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้วอ่ะดิ มันจะมีเครื่องดีดพอเราดึงกระป๋องขึ้นมาปั๊บมันจะใส่กลับไปวางเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว หยิบแล้วหยิบเลยเสียเงินชัวร์ บางคนหยิบขึ้นมาเห็นมันเครื่องมันเด้งตกใจเลยใส่กลับเข้าไปใหม่ แต่หารู้ไม่ว่ามันได้ลิงก์ไปถึงแคชเชียร์ที่เคาน์เตอร์เรียบร้อยแล้วว่ามีการดึงกระป๋องออกไป เขาก็คิดเงินแหละ บางคนลองดึงดูสองสามครั้ง เล่นไปเล่นมากลายเป็นกินไปสามกระป๋อง ตอนเช็กเอาต์เขาก็มาเรียกเก็บเงิน งงซิครับท่าน เฮ้ย...! ฉันไม่ได้กิน ฉันดึงเล่นเฉยๆ เขาไม่ยอม ต้องเสียเงิน เพราะเขาไม่รับรู้ด้วยว่าคุณจะเล่นหรือจะกินจริง ที่นี่คนเราก็หัวใสอีกแล้วไง พอเปิดตู้เย็นก็กดกระป๋องน้ำไว้ไม่ให้มันเด้งไง แล้วค่อยๆ เปิดฝาเบาๆ พอที่จะสามารถเอาหลอดแหย่เข้าไปในกระป๋องได้แล้วดูดจากกระป๋องตรงตู้เย็นนั้นเลยล่ะ ตู้เย็นนี้ก็ไม่มีรายงานไปถึงแคชเชียร์ซิว่าลูกค้าดึงน้ำออกมากิน เพราะมันไม่ได้ถูกดึงออกมานิ เป็นไงคน (ไทย) เรา กว่าเขาจะจับได้ อันนี้พวกแคชเชียร์เขามาเตือนพวกไกด์ให้ปรามๆ ลูกทัวร์หน่อย เลยรู้พฤติกรรม
เรื่องนี้ปูเห็นมากับตาเลยอ่ะ เวลาไปเมืองนอกกระเป๋าสัมภาระเขาจะมีการจำกัดน้ำหนักเกิน จำกัดจำนวนกระเป๋าชิมิ กระเป๋าใหญ่ที่โหลดลงใต้เครื่องบินก็ไม่ควรจะเกิน 23 กิโลโดยประมาณ แล้วกระเป๋าที่สามารถลากหรือแบกขึ้นเครื่องด้วยตัวเองอีกประมาณ 7 กิโล หรือแล้วแต่บ่าและไหล่ของใครจะแบกได้เท่าไร แต่ต้องสามารถเก็บขึ้นไว้บนที่เก็บสัมภาระเหนือหัวตรงที่นั่งได้ก็แล้วกันใช่มั้ย ก็มีคนหัวใสอีกนั่นแหละคือ ซื้อเสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้ามาซะจนใส่ในกระเป๋าไม่ได้อ่ะ เลยจำเป็นต้องใส่ไว้ที่ตัวแทนไง ปูขำสองผัวเมียคู่หนึ่งมาก เพราะถึงตอนที่ต้องผ่านการตรวจเอกซเรย์ของใช่มั้ย เจ้าหน้าที่เขาต้องให้ถอดเข็มขัด เสื้อโค้ต เสื้อหนาว รองเท้า ผัวเมียคู่เนี้ยทำเอาเจ้าหน้าที่ตลึง เพราะพี่แกถอดกางเกงตัวแรกเสร็จตัวที่สองมันก็หลุดเจ้าหน้าที่เห็นก็ให้ถอดออกอีก ถอดไปถอดมาโอ้...! แม่เจ้า ห้าตัวอ่ะ มันใส่เข้าไปได้ไงไม่รู้ ส่วนอีคุณเมียก็เอากระเป๋าซ้อนกระเป๋าจนข้างในอ่ะเหลือใบเล็กมากอ่ะ ดู๊ดู ทำได้อ่ะ เหตุการณ์เป็นไงต่อปูก็ไม่รู้อะนะ เพราะต้องรีบไปขึ้นเครื่องเหมือนกัน เฮ้อ!... คนเราอ่ะน่ะ


