posttoday

ความเห็นผิด

11 เมษายน 2553

...คุณสลิล

...คุณสลิล

ขณะที่ความขัดแย้งทางการเมืองยังรุนแรงในช่วงใกล้เทศกาลสงกรานต์ ซึ่งความจริงแล้วเป็นเทศกาลปีใหม่ไทย ซึ่งควรจะเป็นช่วงที่คนไทยมีความสุข ไปกราบไหว้ผู้ใหญ่ เล่นน้ำสงกรานต์คลายร้อนกัน แต่กลับมีเรื่องราววุ่นวาย ไม่ว่าฝ่ายใดถูกหรือผิดมากน้อยเพียงใด อย่างน้อยก็ขอให้ลดทิฏฐิมานะกันลงบ้าง แล้วค่อยพูดจากันหาทางออก เพราะไม่ว่าอย่างไรเราก็จะต้องอยู่ด้วยกันต่อไป เหมือนคนทะเลาะกันเองในบ้าน ก็จะทำให้เกิดความไม่พอใจเท่านั้น

หากไม่มาพูดจาแก้ไข ปรับปรุง ทำความเข้าใจกัน ให้อภัยกันบ้าง ก็จะตีกันร่ำไป คนอื่นเมื่อทะเลาะกับเขาแล้วอาจหนีได้ แต่ถ้าเป็นคนที่ต้องอยู่ร่วมกันมันก็จะลำบากใจ ดังนั้นน่าจะมาพูดคุยแก้ปัญหากันดีกว่า จะได้อยู่กันต่อไปได้อย่างไม่ต้องทะเลาะกันให้เพื่อนบ้านหัวเราะเยาะประเทศเราได้

อาทิตย์นี้ MQ จึงขอเขียนเรื่องเกี่ยวกับ ทิฏฐิ ซึ่งหมายถึง มิจฉาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นผิด ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมนำไปสู่ความพินาศ เป็นทางแห่งอบาย

มิจฉาทิฏฐิ มีคำอธิบายโดยหัวข้อว่า ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ป่าชัฏคือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ ความเห็นเป็นข้าศึกต่อสัมมาทิฏฐิ ความผันแปรแห่งทิฏฐิ สังโยชน์คือทิฏฐิ ความยึดถือ ความยึดมั่น ความตั้งมั่น ความถือผิด ทางชั่ว ทางผิด ภาวะที่ผิด ลัทธิเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศ การถือโดยวิปลาสอันใดนี้ชื่อว่า มิจฉาทิฏฐิ

อย่างไรก็ตาม น่าสังเกตว่าคนที่เกิดมิจฉาทิฏฐิขึ้นในใจแล้ว มักจะไม่รู้ตัวว่าตนเห็นผิด เพราะทิฏฐิเกิดพร้อมกับ โลภะ คือ ความโลภ คือ ตัณหา ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นบางทีก็ประกอบกับความรู้สึก (เวทนา) เฉยๆ บางทีก็เกิดขึ้นประกอบด้วยความรู้สึกพอใจด้วยซ้ำ

ดังนั้น ผู้ที่เห็นผิดจึงไม่ทุกข์ร้อนใจอะไร บางทีก็พอใจในความเห็นผิดของตนด้วยซ้ำ (โดยมากก็จะคิดว่าความเห็นผิดของเรานั้นแหละคือความเห็นที่ถูก) จึงเป็นสิ่งที่ถอนยาก แก้ไขได้ลำบาก และยังเกิดพร้อมด้วย โมหะ คือ ความไม่รู้ หรือรู้ผิด

จึงอาจเปรียบเหมือนกับคนบ้าที่คิดว่าตัวไม่บ้านั่นแหละ แก้ไขได้ยากจริงๆ

เหตุที่ทำให้เกิดมิจฉาทิฏฐิมี 4 ประการ คือ

1.การฟังอสัทธรรม เมื่อฟังสิ่งที่ไม่ถูกไม่ตรงแล้วไม่พิจารณาให้ดี ก็ก้าวล่วงซึ่งความเป็นกลาง มุ่งถือเอาอสัทธรรมนั้นเป็นทิฏฐิ เป็นความเชื่อ

2.ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว คือ มีคนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเป็นมิตรสหาย ก็จะติดความเห็นผิดของเขามาด้วย เพราะฟังเขาพูดบ่อยๆ เพราะการคลุกคลี ที่สุดก็มักเห็นดีงามตามเขา

3.ความเป็นผู้ไม่อยากเห็นพระอริยเจ้า มีพระพุทธเจ้า เป็นต้น เพราะตนเป็นผู้ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า มีอริยสัจ 4 เป็นต้น แล้วก็ไม่อยากเรียนรู้ด้วย เห็นแต่ว่าสิ่งที่ตนรู้ตนคิดนั้นถูก

4.อโยนิโสมนสิการ คือ ไม่ได้พิจารณาด้วยใจอันแยบคาย หรือไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบดี บางครั้งก็เชื่อแต่สิ่งที่ตนได้เห็นได้รับรู้เอง แต่ความจริงแล้วตนรู้ไม่หมดเห็นไม่หมด แต่ก็เชื่อเพราะไม่ได้คิดให้รอบคอบ ในพระสูตรก็มีตัวอย่าง เช่น ในพวกที่ทำฌานตนระลึกชาติได้แค่ 12 ชาติ ก็เชื่อตามที่ตนเห็น แต่เพราะตนรู้ไม่หมดจึงเข้าใจผิด เรียกว่าข้อมูลไม่ครบถ้วน แม้จะเป็นข้อมูลตรงแต่ก็ทำให้เข้าใจผิดได้

เมื่อมีความเห็นที่ไม่ถูกเสียแล้ว สติปัญญาไม่เกิดในขณะนั้น ก็จะทำจะพูดตามความเห็นผิดนั้น โดยไม่คำนึงถึงบาปกรรม บ้างเห็นสิ่งมีโทษว่าไม่มีโทษ บ้างก็ไม่เห็นคุณของความดีและคนดี ทำให้ล่วงอกุศลกรรมได้มากมาย สุดท้ายตนเอง (และผู้อื่น) ก็ได้รับความทุกข์ เป็นผลวิบากกรรม

ผู้ใดไม่อยากมีความเห็นผิด ไม่อยากเป็นคนเห็นผิด ไม่อยากเป็นเหมือนคนบ้าไม่รู้ตัว ก็ต้องอย่าสร้างเหตุทั้ง 4 ให้เกิดขึ้น พยายามออกห่างไกลจากเหตุทั้ง 4 คือ

พยายามฟังแต่สัทธรรม เช่น พระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะคิดจะทำอะไรก็เอาพระธรรมคำสอนมาเทียบเคียงว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรคือประโยชน์ อะไรไม่ใช่ประโยชน์

คบแต่กัลยาณมิตร คือ คบคนดี คนที่มีสัมมาทิฏฐิ คือ มีศีล มีธรรม แนะนำแต่สิ่งที่ชอบแต่สิ่งที่ควร ไม่ว่าจะพูด คิด ทำอะไรก็อยู่ในบุญกุศล ไม่มุ่งร้ายต่อผู้อื่น เป็นคนกตัญญูรู้คุณ มีเหตุมีผล ตัดสินอะไรด้วยธรรม ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ เป็นต้น

ตั้งใจปรารถนาอยากเห็นพระอริยเจ้า ซึ่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้วว่า เมื่อใดที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นพระพุทธองค์อีก แต่ผู้ใดเห็นธรรม คือ ธรรมวินัย ที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ก็นับว่าได้เห็นพระพุทธเจ้า ดังนี้ พึงใฝ่ในธรรมและวินัย ทั้งในการศึกษา และเคารพผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมวินัยนั้น

สุดท้ายก็ต้องมีเหตุผล พิจารณาอะไรด้วยปัญญา คือ ใช้โยนิโสมนสิการ อย่าเชื่อคนง่าย อย่าเชื่อเพียงเพราะผู้พูดดูน่าเชื่อถือ อย่าเชื่อเพราะคนอื่นหรือคนหมู่มากเขาเชื่อกัน อย่าเชื่อแม้เพียงเพราะรู้เองเห็นเอง ควรพิจารณาตามหลักธรรม เอาหลักเหตุผล เอาธรรมะมาเป็นกรอบพิจารณา ไม่ใช่เอาความโลภทางโลก เช่น เพราะสิ่งนี้ดีต่อเรา ดีต่อพวกพ้องเรา หรือเพราะความโกรธ เช่น เขาทำร้ายเราก่อน เราต้องทำร้ายตอบ ต้องโกรธแค้นกัน อย่าใช้ความรู้หรือความรู้สึกของตนเป็นเกณฑ์ เพราะความรู้ของปุถุชนนั้นเปรียบไปก็เท่ากับ หางอึ่งจึงควรหมั่นศึกษา หมั่นพิจารณาธรรมะให้มากๆ ปัญญาก็จะเจริญขึ้นเอง

หากพยายามตามนี้แล้ว มิจฉาทิฏฐิก็คงห่างไกล สัมมาทิฏฐิก็คงใกล้เข้ามา ...

อย่าลืมว่าแม้คนฉลาด คนจบดอกเตอร์ หรือผู้ทรงคุณวุฒิใดๆ ทางโลก มิจฉาทิฏฐิก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น และเมื่อเกิดแล้วก็ไม่รู้ตัวด้วยกันทั้งนั้นเสียด้วย ...

ทุกคนจึงต้องระวังเรื่องของความเห็นผิดให้ดี

ข่าวล่าสุด

ALATi “สยาม เคมปินสกี้” เมดิเตอร์เรเนียนโมเมนต์ สำหรับวันธรรมดาที่สุดพิเศษ