อาคารต้นแบบประหยัดพลังงาน ความภาคภูมิใจของกสิกรไทย
หากใครได้ดูโฆษณาประหยัดไฟด้วยการใช้หลอดผอม ที่ บัณฑูร ล่ำซำ
โดย...ชลลดา อิงศรีสว่าง
หากใครได้ดูโฆษณาประหยัดไฟด้วยการใช้หลอดผอม ที่ บัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ลงทุนเป็นพรีเซนเตอร์เอง น่าจะเข้าใจได้ถึงการให้ความสำคัญในเรื่องการอนุรักษ์พลังงานของธนาคารสีเขียวแห่งนี้
เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ลูกค้า ธนาคารลงมือก่อสร้างโครงการอนุรักษ์พลังงานเอง หวังให้เป็นอาคารต้นแบบที่สะท้อนพัฒนาการครั้งสำคัญของการออกแบบและก่อสร้างของไทย คัดเลือกนวัตกรรมและวัสดุที่เน้นการประหยัดพลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมดูแลความสมดุลเรื่องต้นทุนได้อย่างลงตัว สามารถลดการใช้พลังงานได้อย่างเป็นรูปธรรม
สุวัฒน์ เจริญวิจิตรชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา สภาอาคารเขียวของสหรัฐอเมริกา (U.S. Green Building Council : USGBC) ได้ประกาศให้ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารกสิกรไทย บางปะกง อาคารหลังที่ 3 ผ่านมาตรฐานอาคารอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมระดับสูงสุดระดับ Platinum ภายใต้มาตรฐาน LEED ประเภทอาคารก่อสร้างใหม่ (New Construction : NC) นับเป็นอาคารแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับรางวัลสูงสุดในประเภทดังกล่าว
ศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ ใช้งบประมาณก่อสร้างและตกแต่งรวม 167 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ 7 ไร่ เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์การเรียนรู้ธนาคารกสิกรไทย บางปะกง จ.ชลบุรี
โครงการนี้ก่อสร้างขึ้นเพื่อรองรับความต้องการด้านการพัฒนาบุคลากรของธนาคารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใช้เป็นศูนย์การเรียนรู้และพักอาศัยได้อย่างครบวงจร ประกอบด้วย อาคารสูง 6 ชั้น เป็นชั้นหลัก 4 ชั้น ชั้นลอย 1 ชั้น และชั้นจอดรถกึ่งใต้ดิน 1 ชั้น ภายในอาคารมีห้องเรียนขนาดใหญ่ 5 ห้อง และห้องพัก 54 ห้อง ตัวอาคารมีพื้นที่ 5,000 ตารางเมตร
สุวัฒน์ กล่าวว่า ธนาคารได้กำหนดให้การออกแบบและก่อสร้างต้องอยู่ภายใต้แนวคิด 3 ประการ ได้แก่
อาคารเขียวที่มีเหตุผล นั่นคือมีการคัดกรองแนวความคิดและเทคโนโลยีต่างๆ โดยเลือกใช้เทคโนโลยีและการ ออกแบบที่ใช้งานได้จริง ราคาสมเหตุสมผล และสอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศของไทย
อาคารเขียวที่มีความยั่งยืน คือ ต้องเป็นอาคารเขียวที่ใช้งานได้จริงอย่างคุ้มค่า สอดคล้องกับการใช้งานในระยะยาว เพื่อให้คงความเป็นอาคารเขียวตลอดอายุการใช้งานของอาคาร
อาคารเขียวที่พอเพียง นั่นคือการใช้งบประมาณที่ไม่ฟุ้งเฟ้อ มีการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และที่ปรึกษาที่เป็นคนไทยทั้งหมด โดยมุ่งเน้นประโยชน์สูงสุดภายใต้ต้นทุนที่สมเหตุสมผล
ในเรื่องการออกแบบภูมิทัศน์ให้มีพื้นที่เปิดโล่งสูงกว่ามาตรฐาน โดยมีพื้นที่เปิดโล่งถึง 8,400 ตารางเมตร สูงกว่าที่กฎหมายกำหนดถึง 187% พื้นที่เปิดโล่งดังกล่าวยังจัดให้เป็นพื้นที่สีเขียวและพื้นที่สันทนาการ
นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมให้ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว โดยในบริเวณใต้ถุนอาคารได้มีการกำหนดพื้นที่จอดรถจักรยานถึง 20 คัน พร้อมห้องอาบน้ำ จัดสรรพื้นที่จอดรถประหยัดพลังงาน (ECO Car) และรถยนต์ที่มีผู้โดยสารมากกว่า 2 คน (Carpool) พร้อมจัดระบบ Shuttle Bus ให้บริการผู้ใช้อาคารทั้งพนักงานในพื้นที่ พนักงานจากกรุงเทพฯ และแขกเยี่ยมชม โดยจัดจุดรับส่งที่ชัดเจน
ด้านประสิทธิภาพการใช้น้ำ (Water Efficiency) ออกแบบระบบน้ำแบบยั่งยืนอย่างครบวงจร โดยเลือกใช้ระบบบ่อเปิด 3 บ่อ แทนระบบเครื่องกลที่มีความสิ้นเปลือง ประกอบด้วย บ่อกรองน้ำเสียจากระบบสุขภัณฑ์ บ่อหน่วงน้ำ และบ่อซึม ที่เชื่อมต่อกัน โดยบ่อกรองน้ำจะทำหน้าที่ลดมลภาวะของน้ำเสียจากระบบสุขภัณฑ์ให้ต่ำกว่า BOD 10 ขณะที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ BOD 20 โดยใช้ต้นไม้ เช่น ธูปฤาษี มาดักตะกอนของน้ำเสีย จากนั้นจะส่งน้ำต่อไปยังบ่อหน่วงน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งนอกจากรองรับน้ำเสียที่บำบัดแล้ว ยังทำหน้าที่เสมือนแก้มลิงชะลอน้ำฝนและกักเก็บไว้ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม
การประหยัดพลังงานและบรรยากาศ (Energy and Atmosphere) ทีมงานธนาคารและที่ปรึกษาไม่ได้มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีด้านพลังงานที่ล้ำสมัยซึ่งมีราคาสูง แต่เลือกใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูงและมีความคุ้มค่าเป็นสำคัญ อาทิ การใช้กระจกชั้นเดียวเบอร์ 5 ร่วมกับแผงกันแดด แทนที่การใช้ระบบกระจกฉนวนที่มีราคาแพง การเลือกใช้ระบบปรับอากาศแบบรวมประสิทธิภาพสูงและระบายความร้อนด้วยน้ำแทนการใช้ระบบ Split Type ที่ระบายความร้อนด้วยอากาศ การใช้ระบบพัดลมปรับเปลี่ยนความเร็วลมได้ ในพื้นที่ส่วนที่เป็นห้องเรียน ซึ่งมีการใช้พลังงานพัดลมของระบบปรับอากาศสูง การออกแบบให้อาคารมีการใช้พลังงานไฟฟ้าส่องสว่างที่ต่ำ ด้วยการใช้หลอดไฟเทคโนโลยี T5 แทนระบบ LED ที่มีราคาแพง โดยยังคงความประหยัดพลังงานได้ด้วยวิธีการจัดวางหลอด ซึ่งผลลัพธ์จากการใช้ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ตามมาตรฐาน ASHRAE 90.1 2007 คำนวณ พบว่าอาคารนี้ใช้พลังงานลดลงกว่า 30% เมื่อเทียบกับอาคารประหยัดพลังงานทั่วไป
การใช้วัสดุและทรัพยากร (Material and Resources) โครงการได้มีการควบคุมปริมาณขยะระหว่างก่อสร้างและควบคุมขยะให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุดด้วยการนำขยะไปใช้งานใหม่ จนสามารถลดขยะจากการก่อสร้างได้ถึง 80% ของปริมาณที่เกิดขึ้น นอกจากนี้โครงการได้มีการวางแผนการใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบด้วยหลักการ Reduce Reuse Recycle อาทิ การใช้ไม้เก่ามาใช้เป็นฝ้าเพดาน และประตูของโครงการ จึงทำให้มูลค่าวัสดุ Reuse สูงถึง 10.2% ของมูลค่าวัสดุโครงการ การใช้ขี้เถ้าผสมในคอนกรีต รวมกับเหล็ก Recycle จนมีมูลค่าวัสดุ Recycle สูงถึง 36.8% ขณะเดียวกันโครงการนี้ยังเน้นการเลือกใช้วัสดุในประเทศและวัสดุท้องถิ่น เช่น อิฐมวลเบาและกระเบื้อง ทำให้มีมูลค่าวัสดุในประเทศถึง 53.8% ในโครงการนี้ยังมีการใช้ไม้ใหม่จากป่าปลูกยั่งยืนที่ผ่านการรับรอง FSC ถึง 100%
ทางด้านนายจตุวัฒน์ วโรดมพันธ์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญอาคารเขียว กล่าวว่า ปกติงบประมาณในการก่อสร้างอาคารใช้ทั้งหมด 160 ล้านบาท เมื่อพัฒนาให้ได้มาตรฐาน LEED งบประมาณการก่อสร้างอาคารนี้จึงเพิ่มเป็น 167 ล้านบาท แต่คาดว่าจะสามารถคุ้มทุนได้ภายใน 23 ปีในสถานการณ์ที่ราคาค่าพลังงานสูงขึ้น ธนาคารกสิกรไทยและทีมที่ปรึกษาได้ออกแบบและก่อสร้างศูนย์การเรียนรู้ธนาคารกสิกรไทย จนสามารถผ่านการประเมินมาตรฐานทำคะแนนได้ 81 คะแนน จากคะแนนเต็ม 110 คะแนน ของมาตรฐาน LEED ในประเภทอาคารก่อสร้าง ใหม่ (New Construction: NC) ในเกณฑ์รางวัลระดับ แพลทินัม ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ที่ต้องได้คะแนนตั้งแต่ 80 คะแนน ขึ้นไป ทั้งนี้ อาคารแห่งนี้ มีจุดเด่น ที่น่าสนใจที่ช่วยทำคะแนนในแต่ละหมวดดังนี้
ความยั่งยืนของที่ตั้งโครงการ (Sustainable Site) อาคารแห่งนี้มีจุดเด่นในเรื่องการออกแบบภูมิทัศน์ให้มีพื้นที่เปิดโล่งสูงกว่ามาตรฐาน โดยตามกฎหมายกำหนดให้มีพื้นที่เปิดโล่งอย่างน้อย 3,000 ตารางเมตร ในขณะที่โครงการมีพื้นที่เปิดโล่งถึง 8,400 ตารางเมตร สูงกว่าที่กฎหมายกำหนดถึง 187% โดยในบริเวณใต้ถุนอาคารได้มีกำหนดพื้นที่จอดรถและจักรยานถึง 20 คัน พร้อมห้องอาบน้ำเมื่อปั่นจักรยานแล้วร่างกายเสียเหงื่อ
ด้านประสิทธิภาพการใช้น้ำ (Water Efciency) ออกแบบระบบน้ำแบบยั่งยืนอย่างครบวงจร โดยเลือกใช้ระบบบ่อเปิด 3 บ่อ แทนระบบเครื่องกลที่มีความสิ้นเปลือง ประกอบด้วย บ่อกรองน้ำเสียจากระบบสุขภัณฑ์ บ่อหน่วงน้ำ และบ่อซึม ที่เชื่อมต่อกัน โดยบ่อกรองน้ำจะทำหน้าที่ลดมลภาวะของน้ำเสียจากระบบสุขภัณฑ์ให้ต่ำกว่า BOD 10 ขณะที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ BOD 20 โดยใช้ต้นไม้เช่นธูปฤาษีมาดักตะกอนของน้ำเสีย จากนั้นจะส่งน้ำต่อไปยังบ่อหน่วงน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งนอกจากรองรับน้ำเสียที่บำบัดแล้ว ยังทำหน้าที่เสมือนแก้มลิงชะลอน้ำฝนและกักเก็บไว้ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม
กสิกรไทยสร้างอาคารเขียวด้วยมาตรฐานสูงสุดระดับโลก
LEEDNC Platinum เป็นอาคารแรกของไทย
ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารกสิกรไทย บางปะกง คว้ารางวัลมาตรฐานระดับโลก LEEDNC Platinum ประเภทอาคารใหม่แห่งแรกของไทย หวังเป็นอาคารต้นแบบที่สะท้อนพัฒนาการครั้งสำคัญของการออกแบบและก่อสร้างของไทย ด้วยแนวคิดอาคารเขียวที่มีเหตุผลยังยืนพอเพียง คัดเลือกนวัตกรรมและวัสดุที่เน้นการประหยัดพลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมดูแลความสมดุลเรื่องต้นทุนได้อย่างลงตัว สามารถลดการใช้พลังงาน 30% น้ำประปา 60% ขยะจากการก่อสร้าง 80%
นายสุวัฒน์ เจริญวิจิตรชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สภาอาคารเขียวของสหรัฐอเมริกา (U.S. Green Building Council: USGBC) ได้ประกาศให้ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารกสิกรไทย บางปะกง อาคารหลังที่ 3 ผ่านมาตรฐานอาคารอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมระดับสูงสุดระดับ Platinum ภายใต้มาตรฐาน LEED (Leadership in Energy and Environment Design) ประเภทอาคารก่อสร้างใหม่ (New Construction: NC) นับเป็นอาคารแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับรางวัลสูงสุดในประเภทดังกล่าว ซึ่งเป็นพัฒนาการครั้งสำคัญของการออกแบบและก่อสร้างของไทย และเป็นเครื่องยืนยันถึงจุดยืนของธนาคารกสิกรไทยในการดำเนินธุรกิจภายใต้เจตนารมณ์ “หัวใจสีเขียว” สนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารกสิกรไทย บางปะกง อาคารหลังที่ 3 มีเนื้อที่รวม 7 ไร่ ก่อสร้างขึ้นเพื่อรองรับความต้องการด้านการพัฒนาบุคลากรของธนาคารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใช้งานเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้และพักอาศัยได้อย่างครบวงจร ประกอบด้วยอาคารสูง 6 ชั้น เป็นชั้นหลัก 4 ชั้น ชั้นลอย 1 ชั้น และชั้นจอดรถกึ่งใต้ดิน 1 ชั้น ภายในอาคารมีห้องเรียนขนาดใหญ่ 5 ห้อง และห้องพัก 54 ห้อง ตัวอาคารมีพื้นที่ 5,000 ตารางเมตร เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์การเรียนรู้ธนาคารกสิกรไทย บางปะกง ซึ่งมีเนื้อที่รวม 44 ไร่


