โอท็อปไทยสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์
ที่ปรึกษาสมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์
ที่ปรึกษาสมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์
เศรษฐกิจโลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่ยุคใหม่ของการแข่งขันเป็นยุคที่เรียกกันว่า “เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์” (Creative Economy) ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่อาจารย์ วราภรณ์ สามโกเศศ เคยให้คำนิยามไว้ว่า “Creative Economy คือ ระบบเศรษฐกิจที่สะท้อนถึงกระบวนการซึ่งรวมเอาวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกัน และสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน จึงทำให้ Creative Economy โดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางระบบการผลิตอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมและภาคการเกษตร”
อาจกล่าวได้ว่า ทั่วโลกกำลังหันกลับมาพัฒนาสินค้าเชิงวัฒนธรรม หันมาให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพของชุมชน และใช้จุดแข็งของชุมชนทางด้านวัฒนธรรม วิถีชีวิตและภูมิปัญญา เพื่อเชื่อมโยงสู่ภาคการผลิตและบริการ ในการสร้างสัญลักษณ์และขยายโอกาสทางการตลาดมากยิ่งขึ้น
ยิ่งเมื่อรวมกับกระแสบริโภคนิยมสินค้าที่เป็นธรรมชาติ สินค้าที่อิงกับวัฒนธรรม สินค้าที่ส่งเสริมสุขภาพ การมีส่วนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือสินค้าที่ช่วยสนับสนุนชุมชน รวมถึงกระแสความนิยมในความเป็นเอเชีย จึงนับว่าประตูแห่งโอกาสกำลังเปิดกว้างอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยที่อุดมไปด้วยศิลปวัฒนธรรมและสินค้าเชิงภูมิปัญญาท้องถิ่น มีผู้ผลิตสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งเป็นสินค้าเชิงวัฒนธรรมส่งตรงมาจากท้องถิ่นอยู่เป็นจำนวนมาก
จะว่าไปแล้วคงต้องปรบมือให้กับรัฐบาล โดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ที่เป็นหัวเรือใหญ่ริเริ่มการคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์ (OTOP Product Champion: OPC) มาตั้งแต่ปี 2546 ภายใต้แนวคิดที่จะช่วยสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์ ในแต่ละหมู่บ้าน ชุมชนหรือ ตำบล สนับสนุนและส่งเสริมให้แต่ละชุมชนได้นำทรัพยากรและภูมิปัญญาในท้องถิ่นมา พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพที่มีจุดเด่นและมูลค่าเพิ่ม ที่สนับสนุนภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่สากล (Local yet Global)
อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษของการพัฒนาสินค้า OTOP ยังคงมีปัญหาและอุปสรรคที่ต้องแก้ไขอีกหลายประการ เห็นได้จากผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่ได้จัดทำสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น (OTOP) พ.ศ. 2554 พบว่า ปัญหาของผู้ผลิตสินค้า OTOP ที่สำคัญ คือ คุณภาพของสินค้ายังไม่ได้มาตรฐาน โดยมีประชาชนเพียงร้อยละ 55.8 ที่เห็นว่าสินค้า OTOP มีคุณภาพได้มาตรฐาน ในขณะที่ร้อยละ 20.6 เห็นว่ายังไม่ได้มาตรฐาน และร้อยละ 23.6 ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจ
จากผลการสำรวจยังพบอีกว่า ผู้ผลิตสินค้า OTOP ยังคงเผชิญกับปัญหาเดิมๆ เช่นเดียวกับ SMEs ทั่วไป อันได้แก่ การขาดแหล่งเงินทุนในการผลิตสินค้า ขาดช่องทางตลาดจำหน่ายสินค้า ขาดการประชาสัมพันธ์สินค้าอย่างต่อเนื่อง ขาดบุคลากรของรัฐที่ให้ความรู้ ขาดแคลนเครื่องมือ/เครื่องใช้ ขาดแคลนวัตถุดิบ ขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะและฝีมือ ขาดเทคนิคสมัยใหม่ในการผลิต ขาดความรู้ในการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 74.6 ระบุว่า ใช้สินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น และเหตุผลสำคัญที่ทำให้เลือกใช้ เพราะเป็นสินค้าที่ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นนอกจากนี้ผลการสำรวจยังชี้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 83.0 ระบุว่า รูปแบบบรรจุภัณฑ์ของสินค้ามีการพัฒนา โดยประชาชนที่ระบุว่ารูปแบบบรรจุภัณฑ์ของสินค้ามีการพัฒนานั้นเห็นว่า สินค้ามีการพัฒนาในระดับมาก ร้อยละ 20.2 พัฒนาในระดับปานกลาง ร้อยละ 49.9 และพัฒนาน้อย ร้อยละ 12.9
ดังนั้น จึงนับว่าปัจจัยที่เอื้อทั้งกระแสความนิยมสินค้าเชิงวัฒนธรรมในระดับโลก และอุปสงค์ภายในประเทศที่พร้อมจะรองรับหากสินค้ามีคุณภาพและได้มาตรฐาน ภาครัฐและภาควิสาหกิจหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เอง จะต้องเร่งปรับตัวพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์คุณภาพสู่ระดับสากล สร้างเอกลักษณ์ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการปรับปรุงเทคโนโลยี เพื่อมุ่งสร้างนวัตกรรมให้เกิดระบบการผลิตเชิงคุณค่า (Value Management) จะต้องมองไปสู่ตลาดที่สามารถส่งออกได้ (Exportable) โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาความแกร่งของตราผลิตภัณฑ์ (Brand Equity) เป็นต้น ผลิตอย่างต่อเนื่องและคุณภาพคงเดิม (Continuous & Consistant) ความมีมาตรฐาน (Standardization) โดยมีคุณภาพ (Quality) และสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า (Satisfaction) เพิ่มมูลค่าและคุณค่าของสินค้าด้วยการจัดทำประวัติความเป็นมาของผลิตภัณฑ์ (Story of Product)
หากเราเริ่มต้นที่ OTOP อย่างถูกต้อง มีการส่งเสริมอย่างมีทิศทาง พร้อมปรับกลยุทธ์เชิงรุกสู่การผสมผสานเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อสร้างสรรค์สู่ผลิตภัณฑ์เชิงนวัตกรรม ในไม่ช้าคงจะก้าวสู่ประเทศระดับ TOP ในเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ได้อย่างไม่ยากเย็น...


