posttoday

ไฟฟ้ากับอุตสาหกรรม

19 เมษายน 2556

ปัจจุบันการจะพัฒนาภาคอุตสาหกรรมให้เข้าสู่การเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยนโยบาย “ความรับผิดชอบต่อสังคม” หรือ CSR เพียงอย่างเดียวคงไม่พอสำหรับความอยู่รอดของภาคอุตสาหกรรมอีกต่อไป

ปัจจุบันการจะพัฒนาภาคอุตสาหกรรมให้เข้าสู่การเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยนโยบาย “ความรับผิดชอบต่อสังคม” หรือ CSR เพียงอย่างเดียวคงไม่พอสำหรับความอยู่รอดของภาคอุตสาหกรรมอีกต่อไป

แนวทางในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมเพื่อความยั่งยืนยังจะต้องมีการบูรณาการร่วมกันทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง “ระบบบริหารจัดการพลังงาน”

เมื่อต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมานี้ เรามีความเสี่ยงในเรื่องของปัญหาไฟฟ้าตกหรือดับในช่วงเทศกาลสงกรานต์จากปัญหาที่เมียนมาร์หยุดซ่อมแท่นก๊าซ ระหว่างวันที่ 514 เม.ย. 2556

ความเสี่ยงที่ว่านี้ ตอนนี้ลดลงไปแล้ว แต่การพึ่งพาพลังงานจากก๊าซธรรมชาติซึ่งมาจากแหล่งพลังงานนอกประเทศ นักเศรษฐศาสตร์ต่างตั้งสมมติฐานและพยากรณ์ว่า ในระยะกลางและระยะยาวแล้วจะทำให้เสถียรภาพและความมั่นคงทางด้านไฟฟ้าของประเทศไทยลดลง

ภาคอุตสาหกรรมการผลิตหรือโรงงานอุตสาหกรรมต่างพยายามที่จะแก้ไขปัญหาในเรื่องของต้นทุน ภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวน และการลดลงของประชากรวัยทำงานเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหลายจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด หลายโรงงานมีแผนย้ายการผลิตไปสู่ต่างประเทศในภูมิภาคที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า แต่การลงทุนสร้างโรงงานใหม่ก็มีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตจำเป็นต้องมีการปรับตัวเพื่อก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ

การใช้ก๊าซธรรมชาติของภาคอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศไทยจะมีผลกระทบโดยตรงต่อระบบการผลิตกระแสไฟฟ้า ภาคขนส่ง และการใช้ในครัวเรือน ขณะเดียวกันการผลิตกระแสไฟฟ้าของประเทศก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตของภาคส่วนต่างๆ เช่นเดียวกัน

ปกติแล้วการผลิตกระแสไฟฟ้าในประเทศไทยจะเป็นการผลิตแบบรวมศูนย์ โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก มีข้อดีคือ เป็นการผลิตไฟฟ้าปริมาณมากจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ทำให้มีความคุ้มทุนเชิงเศรษฐศาสตร์และมีเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบการผลิตไฟฟ้า การจ่ายไฟฟ้าไปสู่ผู้บริโภคจะส่งกระแสไฟฟ้าผ่านโครงข่ายไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตจะสัมพันธ์กับความต้องการไฟฟ้าของผู้ใช้ที่หลากหลายหลายทั้งในแง่ของช่วงเวลา ปริมาณความต้องการ หรือตำแหน่งของผู้ใช้ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ

การจ่ายไฟฟ้าไปสู่ผู้บริโภคจะส่งกระแสไฟฟ้าผ่านโครงข่ายไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟ ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตจะสัมพันธ์กับความต้องการไฟฟ้าของผู้ใช้ที่หลากหลายทั้งในแง่ของช่วงเวลา ปริมาณความต้องการ หรือตำแหน่งของผู้ใช้ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ แต่ข้อเสียของระบบแบบนี้คือ การสูญเสียพลังงานในสายส่ง ไม่มีระบบบริหารจัดการด้านพลังงานที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านภาระ (Load) ทางไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าและความร้อนที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าจะถูกระบายออกสู่บรรยากาศ โดยไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์

การบริหารจัดการไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพจึงได้มีการศึกษาและนำมาใช้กันในหลายๆ ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ โดยเริ่มมีการวางแผนบริหารจัดการด้านไฟฟ้าเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

ระบบส่งไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่นำมาใช้ในการบริหารจัดการไฟฟ้า โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศ โดยคาดว่าระบบส่งไฟฟ้าอัจฉริยะนี้สามารถจะแก้ไขเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบการผลิตไฟฟ้าของระบบไฟฟ้า การส่งเสริมการผลิตกระแสไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ชีวมวล และความร้อนเหลือทิ้ง

โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะเป็นโครงข่ายไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสารมาบริหารจัดการเพื่อให้ระบบควบคุมการผลิตและระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า สามารถรองรับการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าจากแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าอื่นๆ เช่น ชีวมวลหรือความร้อนที่กระจายอยู่ทั่วไปในภาคอุตสาหกรรม มีระบบบริหารการใช้ไฟฟ้าให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งให้บริการกับผู้ขายไฟฟ้ารายย่อยที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายผ่านมิเตอร์อัจฉริยะ ทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีระบบการบริหารจัดการไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อันจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง

ไฟฟ้าเป็นสิ่งมีค่าที่จำเป็นจะต้องได้รับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเสถียรภาพและความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ การใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ จะช่วยภาคอุตสาหกรรมลดต้นทุนการผลิตเพื่อการแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลกรวมถึงการเปิด AEC ในอีกสองปีข้างหน้าด้วย

และที่สำคัญคือ จะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนสถานประกอบการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนอีกทางหนึ่ง ครับผม!

ข่าวล่าสุด

งานเข้า! EU สอบสวน Google ข้อหาผูกขาดเนื้อหาให้กับ AI ของบริษัท