รู้จักร "สงการนต์" ชนเผ่าไทยในอาเซียน
โดย...อัฏฐวรรณ ลวณางกูร
โดย...อัฏฐวรรณ ลวณางกูร
ว่ากันว่า “ชนชาติไท” มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน นับเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดชนเผ่าหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในอดีตเคยมีถิ่นฐานแถวตอนใต้ของประเทศจีน กระทั่งถูกรุกรานจนต้องอพยพลงใต้ และแยกเป็นชนเผ่าต่างๆ ในแถบแผ่นดินใหญ่ของอาเซียน แต่มีรากประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเดียวกัน
หนึ่งในวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงความใกล้ชิดระหว่างชนชาติไทเผ่าต่างๆ คือ “วันปีใหม่” ที่มีประเพณีรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่คล้ายกัน หรือที่เรียกว่า ประเพณีสงกรานต์
อ.อรไท ผลดี ผู้อำนวยการสำนักพิพิธภัณฑ์และวัฒนธรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เล่าว่า วันปีใหม่ของชนเผ่าไทเป็นช่วงเวลาว่างจากการทำนา จึงใช้เวลานี้ทำความเคารพแม่โพสพ รวมถึงบรรพบุรุษ โดยชนเผ่าไทมีการใช้ปฏิทินมาไม่ต่ำกว่า 4,700 ปีมาแล้ว ในสมัยจักรพรรดิเหลือง ซึ่งเป็นต้นตระกูลไท แต่เดิมปีใหม่ของชนเผ่าไทอยู่ในช่วงเดือนอ้าย หรือเดือน ธ.ค. ซึ่งเป็นเดือนต้นปีของชนเผ่าไท เพราะเป็นฤดูหนาว เปลี่ยนจากเวลามืดฝนมาเป็นสว่างขึ้น
กระทั่งถึงจุดเปลี่ยน เมื่อพระยาสักรดำแห่งเมืองตักกสิลาโปรดให้ตั้งจุลศักราช และกำหนดให้เดือน 5 เป็นเดือนขึ้นปีใหม่ เพราะฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูที่ดีที่สุดของประเทศทางซีกโลกเหนือ แต่ก็เคลื่อนเป็นเดือน ก.พ. ในระยะหลังที่อพยพลงมา ซึ่งน่าจะเป็นเพราะสภาพภูมิอากาศ ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการตั้งศักราชใหม่ ถือวันที่ 1 เม.ย. ตามสุริยคติเป็นวันขึ้นปีใหม่
อ.อรไท มองว่า ชนเผ่าไทต่างสืบทอดประเพณีสงกรานต์ตามบรรพบุรุษ ทำให้ประเพณีสงกรานต์กระจายประเทศในอาเซียน ทั้งไทย ลาว เมียนมาร์ กัมพูชา บางพื้นที่ในเวียดนาม รวมถึงสิบสองปันนาทางตอนใต้ของจีน เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมจากชนเผ่าไท และกลายเป็นวัฒนธรรมร่วมในภูมิภาคแถบนี้
อ.ประนอม ทาแปง ศิลปินแห่งชาติ เล่าถึงประเพณีสงกรานต์ไทยวน แห่งอาณาจักรล้านนา ว่า ประเพณีสงกรานต์ของทางภาคเหนือมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ ก่อนถึงช่วงปีใหม่คนเมืองจะต้องเตรียมเสื้อผ้าใหม่ไว้นุ่งในวันที่ 13 เม.ย. รวมทั้งต้องเตรียมน้ำส้มป่อย เพื่อปล่อยทุกข์โศกและเคราะห์ โดยนำมาสระสรงเครื่องมือทำมาหากิน เช่น เครื่องทอผ้า อุปกรณ์การเกษตร และดำหัวคนในบ้าน ประตูบ้าน ประตูเรือน เพื่อขอขมาลาโทษที่ได้ล่วงเกิน พอถึง 14 เม.ย. เป็นวันเนา ผู้คนจะเตรียมข้าวของไปทำบุญ และไม่ทำงานในวันนี้ ขณะที่ 15 เม.ย. วันพญาวัน เป็นวันดีที่สุด คนจะจัดงานมงคลวันนี้ รดน้ำดำหัวผู้เฒ่าผู้แก่ และไปวัดทำบุญ
ขวัญยืน ทองดอนจุย ถ่ายทอดเรื่องราวของคนไทดำที่ปัจจุบันอาศัยแถวเวียดนามและลาว ว่า เทศกาลปีใหม่ของไทดำดั้งเดิมอยู่ในเดือน ก.พ. เรียกว่าพิธีปัดตงข้าวใหม่ เป็นการนำข้าวใหม่ที่ได้จากการเก็บเกี่ยวครั้งแรกในรอบปีมาทำเป็นข้าวเม่า ข้าวหลาม ข้าวเหนียว เพื่อเซ่นไหว้ผีเรือนให้ทราบว่าการทำนาในรอบปีลูกหลานมีข้าวไว้กินแล้ว และทำอาหารเลี้ยงในครอบครัว
ขณะที่คนไทดำในเมืองไทยก็สืบสานวัฒนธรรมนี้ โดยจัดในเดือน เม.ย. มีการสรงน้ำพระ และทำน้ำอบกันเอง สำหรับสระสรงพ่อแม่เพื่อกราบขอขมาและขอพร
อ.ปรีชา คงคะสุวัณณะ อธิบายว่า อาณาจักรสิบสองเจ้าไทในเวียดนาม เป็นต้นกำเนิดของคนไทแดง ไทขาว ไทดำ ซึ่งปัจจุบันอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเวียดนาม แต่รัฐบาลเวียดนามจัดกลุ่มคนไททั้งหมดเป็นกลุ่มเดียวกัน ทั้งที่คนไทแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกัน โดยคนไทแดงเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ พอถึงปีใหม่ต้องไหว้ผี และสู่ขวัญ
คนไทแดงในเวียดนาม มีประชากรราวๆ 1.5 ล้านคน เทียบกับคนเวียต 75 ล้านคน สงกรานต์ชาวไทแดงในเวียดนามจะตรงกับเดือน ก.พ. ฉลองกันตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน และเมือง ส่วนไทแดงในลาวอยู่แถวซำเหนือ ติดๆ กับเวียดนาม
ขณะที่ไทครั่ง ก็มีความสัมพันธ์กับไทแดงในเวียดนามและลาว เห็นได้จากลายผ้าซิ่นที่ใกล้เคียงกัน โดยเมื่อครั้งกบฏเจ้าอนุวงศ์ได้ถูกกวาดต้อนให้มาอยู่ตามหัวเมืองน้อยใหญ่ในไทย ประเพณีสงกรานต์ก็คล้ายๆ เผ่าไทอื่นๆ แต่การสิ้นสุดวันสงกรานต์จะชักธงขึ้นยอดเสาที่วัด เพื่อให้คนรู้ว่าเป็นวันสุดท้ายของพิธีสงกรานต์ เพราะแต่ละหมู่บ้านมีระยะเวลาไม่เท่ากัน
ด้าน สมชาย สกุลคู เล่าถึงสงกรานต์ของลาวและภาคอีสานของไทยว่า การสรงน้ำพระในลาว จะทำรางสรงน้ำไปยังองค์พระ เพื่อผู้หญิงจะได้ไม่ต้องอยู่ใกล้พระพุทธรูปและพระสงฆ์มากเกินไป อีกทั้งสงกรานต์ในลาวยังไม่เปลี่ยนไปมากเท่าภาคอีสานบ้านเรา
อาภัทร ทองแป้น เล่าถึงไทถิ่นใต้ว่า สงกรานต์ในมาเลเซียเป็นประเพณีของคนไทยที่เข้าไปตั้งแต่เมื่อ 300500 ปีก่อน และตกค้างอยู่ในตอนเหนือของมาเลเซีย คนเชื้อสายไทยยังคงมีพิธีสงกรานต์ ซึ่งไม่ค่อยแตกต่าง อย่างการรดน้ำดำหัว สรงน้ำพระก่อกองทราย
“เราต้องรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษสร้างสมมายาวนาน ถ้าไม่สืบทอด วันนี้ก็จะหายไป แต่หากสืบสานก็จะคงอยู่คู่ลูกหลานต่อไป” อ.ปรีชา ทิ้งท้าย


