ส่องโอกาสธุรกิจมาเลเซีย-สิงคโปร์-บรูไน
โดย...สมหทัย โมสิกะ
โดย...สมหทัย โมสิกะ
ในบรรดาประเทศกลุ่มอาเซียน ต้องยอมรับว่า ตอนนี้อาจมีคนพูดถึงโอกาสการลงทุนในมาเลเซีย สิงคโปร์ และบรูไน น้อยกว่าประเทศอื่น แต่หากมองให้ลึกซึ้งจะเห็นความน่าสนใจของตลาดนี้ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจด้านไลฟ์สไตล์ เนื่องจากประชากรมีกำลังซื้อสูง แม้ว่าขนาดตลาดอาจไม่ใหญ่นักก็ตาม
สมเกียรติ ศิริชาติไชย กรรมการ และประธานกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กร ธนาคารกสิกรไทย ได้วิเคราะห์ 3 ตลาดนี้ พร้อมกับแนะนำช่องทางการลงทุนว่า มาเลเซียมีศักยภาพเหมือนไทยแต่ล้ำหน้ากว่า พร้อมกับมีจุดแข็งหลายประการ คือ ระบบโครงสร้างพื้นฐานดี นโยบายเศรษฐกิจมีเป้าหมายชัดเจนและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลมีมาตรการจูงใจหลากหลายเพื่อดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อีกทั้งมีแรงงานหนุ่มสาวที่มีการศึกษาดี แม้ว่าจะมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือก็ตาม
ปัจจุบันมาเลเซียกำหนดจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจน โดยเน้นภาคบริการ ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และยังต้องการพัฒนาธุรกิจที่ปรึกษาด้านการเงินแข่งกับสิงคโปร์ด้วย
สมเกียรติ ชี้ว่า โอกาสธุรกิจไทยในมาเลเซียจะเน้นไปที่ด้านไลฟ์สไตล์ เช่น สปา ร้านอาหาร ขณะเดียวกันผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ควรจับตาดูแนวโน้มการลงทุนเช่นกัน เพราะตอนนี้มาเลเซียเริ่มดึงบริษัทรถยนต์ใหญ่ๆ ของโลกไปขยายธุรกิจที่นั่น ดังนั้นผู้ประกอบการไทยอาจสามารถไปตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วน เพื่อป้อนตลาดมาเลเซียได้
มองต่อไปที่สิงคโปร์ มีข้อดีคือ โครงสร้างพื้นฐาน การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการค้าของภูมิภาคและมีจุดเด่น คือ ความสะดวกและง่ายต่อการทำธุรกิจ และตั้งบริษัท เงื่อนไขด้านภาษีดีมากซึ่งสมเกียรติ แนะนำว่า บริษัทไทยที่ทำธุรกิจการค้าในหลายประเทศ ทำธุรกิจส่งออกนำเข้า มีโรงงานในประเทศต่างๆ สามารถไปตั้งสำนักงานในสิงคโปร์ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวด้านการนำเข้าส่งออกโดยอาศัยข้อดีด้านภาษีที่เก็บในอัตราต่ำมาก
สำหรับตลาดบรูไนนั้น มองว่าเป็นตลาดพัฒนาแล้วที่มีขนาดเล็ก ประชากรมีรายได้สูง แต่ไม่ได้ต้องการการลงทุนธุรกิจไทยที่สามารถเข้าไปได้ น่าจะเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น สปา อัญมณี เครื่องประดับ ส่วนการส่งออกอาหารฮาลาลไปตลาดบรูไนนั้น เห็นว่าอินโดนีเซียเป็นผู้ส่งออกที่ได้เปรียบมากกว่า เพราะอยู่ใกล้กว่าและมีวัตถุดิบมากกว่า ขณะเดียวกันบรูไนก็เป็นประเทศที่มีข้อบังคับการนำเข้าอาหารฮาลาล เนื้อสัตว์แช่แข็งที่เข้มงวดมาก
เมื่อถามถึง 3 ประเทศดาวรุ่งของอาเซียนในช่วง 35 ปีข้างหน้าสมเกียรติ ตอบว่า ลูกค้าของธนาคารกสิกรไทยมองว่า อันดับ 1 คือ เมียนมาร์ ที่เป็นประเทศเปิดใหม่พร้อมรับนักลงทุนต่างชาติต้องการโนว์ฮาว และเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาประเทศอีกมาก
อีกทั้งตอนนี้ เมียนมาร์ก็ผ่อนปรนกฎการลงทุนให้นักลงทุนต่างชาติมากขึ้น อีกทั้งอยู่ติดประเทศไทย มีวัฒนธรรมคล้ายกัน มีความชอบ ความผูกพันกับคนไทย จึงเป็นประเทศที่ควรอยู่ในเรดาห์สำหรับผู้ที่สนใจลงทุน ขณะที่บริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่เริ่มมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจในเมียนมาร์มากขึ้น
สมเกียรติ ชี้ว่า การลงทุนในเมียนมาร์ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ เพราะเป็นตลาดใหม่สำหรับทุกคน
ส่วนอันดับ 2 คือ สิงคโปร์ ที่กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่เริ่มมองสิงคโปร์เป็นเทรดดิง ฮับ และไฟแนนเชียล ฮับ ให้กับบริษัทของตัวเอง
และอันดับ 3 ยกให้อินโดนีเซีย ที่เป็นตลาดใหญ่ด้วยจำนวนผู้บริโภคจำนวนมาก ประชากรวัยแรงงานจำนวนมาก มีการเติบโตของเศรษฐกิจสูง ทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล ซึ่งบริษัทไทยเข้าไปใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้เป็นหลัก
แต่ในมุมมองของสมเกียรติเขายกให้เมียนมาร์เป็นอันดับ 1 ตามด้วยอินโดนีเซีย ส่วนดาวรุ่งอันดับ 3 มองว่าเป็นเวียดนามและกัมพูชา ซึ่งรายหลังมีความชัดเจนเรื่องการลงทุนมาก กลุ่มที่ต้องการแรงงานเข้มข้น ไม่ควรมองข้ามกัมพูชาส่วนเวียดนาม มีความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจ แต่ตลาดใหญ่และน่าสนใจ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สมเกียรติ ทิ้งท้ายว่า ก่อนตัดสินใจไปลงทุนที่ไหน นักลงทุนก็ควรสำรวจความพร้อมของธุรกิจตัวเองก่อนเสมอ


