แหวกม่านโรงแรมฦทธิ์เน้นการออกแบบแตกต่างวางหมากแข่งขัน
ธุรกิจท่องเที่ยวไทยโตวันโตคืน และหากไม่มีวิกฤตการเมืองถ่วงรั้ง ยิ่งทำให้การท่องเที่ยวไทยอนาคตสดใส ทำให้มีเอกชนเข้ามาลงทุนสร้างโรงแรมใหม่รับนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง เช่น โรงแรมฦทธิ์ โรงแรมสายพันธุ์ไทยแท้ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นานนี้ โดยโรงแรมตั้งอยู่ในซอยเกษมสันต์ 1 ตรงข้ามศูนย์การค้าเอ็มบีเค เซ็นเตอร์
ธุรกิจท่องเที่ยวไทยโตวันโตคืน และหากไม่มีวิกฤตการเมืองถ่วงรั้ง ยิ่งทำให้การท่องเที่ยวไทยอนาคตสดใส ทำให้มีเอกชนเข้ามาลงทุนสร้างโรงแรมใหม่รับนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง เช่น โรงแรมฦทธิ์ โรงแรมสายพันธุ์ไทยแท้ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นานนี้ โดยโรงแรมตั้งอยู่ในซอยเกษมสันต์ 1 ตรงข้ามศูนย์การค้าเอ็มบีเค เซ็นเตอร์
“ศรายุธ เอกะหิตานนท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมฦทธิ์ ระบุว่า เจ้าของโรงแรมแห่งนี้คือเจ้าของบริษัท ถาวรแทรคเตอร์ แมชชีนเนอรี ซึ่งต้องการลงทุนสร้างโรงแรมที่ดี จึงจ้างบริษัท ออฟไอซ์ รีสอร์ท แอนด์ เรสเตอร็องต์ แมนเนจเม้นท์ ซึ่งมีตนเป็นหุ้นส่วนบริหารโรงแรมให้ พร้อมวางแผนธุรกิจตั้งแต่ต้นจนจบ
ทั้งนี้ ก่อนเริ่มสร้างโรงแรม บริษัทให้คำแนะนำว่าการสร้างโรงแรมที่ดีไม่จำเป็นต้องมีห้องมาก ไม่ต้องมีขนาดใหญ่ก็เป็นโรงแรมที่ดีได้ แต่ต้องลงทุนสูง เมื่อยอมรับแนวคิดนี้จึงตกลงบริหารให้
โรงแรมฦทธิ์ใช้เงินลงทุน 300 ล้านบาท ไม่รวมที่ดิน ซึ่งเป็นเงินลงทุนสูงมากสำหรับโรงแรมขนาดเล็ก แสดงให้เห็นว่าเจ้าของโรงแรมกล้าลงทุนจริงๆ เพื่อให้ได้โรงแรมที่ดีตามต้องการ ส่วนบริษัทช่วยดูแลตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มจากออกแบบจัดสรรพื้นที่ในโรงแรม ให้มีจุดเด่นที่การออกแบบ (ดีไซน์ โฮเต็ล) คือออกแบบตั้งแต่โครงสร้างโรงแรม ถึงการให้บริการ เพื่อคัดเลือกลูกค้าที่มาพักให้ตอบโจทย์ผลิตภัณฑ์ที่ออกมา แตกต่างจากโรงแรมอื่นที่จะเน้นการออกแบบเฉพาะโครงสร้าง โดยลูกค้าอาจไม่รู้สึกสะดวกสบายกับแบบ หรือลูกค้าที่พักอาจไม่ได้มีบุคลิกสอดคล้องกับโรงแรม
“หากดีไซน์ โฮเต็ล เน้นการออกแบบอย่างสุดโต่ง ลูกค้าก็จะใช้ชีวิตอยู่ลำบาก การเป็นดีไซน์ โฮเต็ล ต้องคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าและความรู้สึกของลูกค้าที่มาใช้ ต้องออกแบบให้เกิดประโยชน์และมีบุคลิกชัดเจน ซึ่งบุคลิกของฦทธิ์คือ มีชีวิตทันสมัย มีความเป็นกรุงเทพฯ ในปัจจุบันผสมผสานกับความเป็นกรุงเทพฯ ในอดีตที่อยู่ในใจของลูกค้า” ศรายุธ กล่าว
ส่วนชื่อโรงแรมฦทธิ์ ก็มาจากการออกแบบเช่นกัน โดยเลือกใช้ชื่อ “ฦทธิ์” เพราะต้องการใช้ตัวสะกดภาษาไทยที่มีเสียงพ้องกับคำว่า ลิต ในภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นกริยาช่องที่ 2 และ 3 ของคำว่า ไลต์ (Light) ที่แปลว่า จุดประกายติดสว่าง ซึ่งตัวสะกดที่พ้องเสียงในภาษาไทย มีให้เลือกสองตัวคือ ล และ ฦ
สาเหตุที่เลือก ฦ เนื่องจากมองว่าไม่เคยมีโรงแรมไหนในไทยใช้ตัวอักษรตัวนี้ และเป็นตัวอักษรไทยที่แทบเลือนหายไป เพราะไม่มีคนใช้ แม้มีตัวอักษรนี้อยู่บนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ก็ตาม จึงตัดสินใจใช้เพื่อสร้างความแตกต่าง แสดงให้เห็นจุดเด่นของโรงแรมที่เป็นดีไซน์ โฮเต็ล ให้คนจดจำได้ง่าย
สำหรับห้องพักมี 79 ห้อง 4 รูปแบบ คือ ทริปเปิล ลักษ์ สูท 5 ห้อง เน้นออกแบบตอบสนองความต้องการกลุ่มลูกค้าที่นิยมเดินทางด้วยกัน 3 คน ในห้องมีเตียงนอน รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งได้รับกระแสตอบรับดีมาก ถูกจองเต็มทั้งปี
ส่วนรูปแบบอื่น ได้แก่ ห้องเอ็กซ์ตร้า เรเดียนซ์ 25 ห้อง เน้นให้มีแสงสว่างภายนอกเข้ามาในห้องมากกว่าปกติ ตัวห้องสร้างยื่นออกไปนอกตัวอาคารเล็กน้อย ให้ห้องรับแสงเข้ามาได้โปร่งโล่งขึ้น ในห้องออกแบบพื้นที่ ให้ความรู้สึกได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่ยังรักษาความสงบส่วนตัวไว้
ห้องดิฟเฟอเรนซ์ ดีกรี 44 ห้อง เน้นออกแบบการใช้พื้นที่ห้องพักแบบที่ไม่เคยมีในเมืองไทย ด้วยหลักการออกแบบห้องรูปแบบอิสระ (ฟรีฟอร์ม) หากลูกค้าต้องการใช้พื้นที่ส่วนใดมากก็ปรับเปลี่ยนตามความต้องการ ห้องสุดท้าย ฟูล สเปกตรัม 5 ห้อง สะท้อนความมีชีวิตชีวา ผ่านแสงและสีสัน พร้อมการออกแบบพื้นที่ห้องที่แปลกและแตกต่างจากที่ห้องพักอื่นมี เพื่อให้ใช้ชีวิตได้เต็มที่ในโรงแรมใจกลางเมือง โดยราคาห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ 7,0001 หมื่นบาท
นอกจากนี้โรงแรมยังมีจุดเด่นเรื่องที่ตั้งซึ่งอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว แหล่งช็อปปิ้งหลักๆ แต่ยังคงความเงียบสงบและส่วนตัว พร้อมมองเห็นเสน่ห์การใช้ชีวิตจริงของคนกรุงเทพฯ ไม่ใช่ภาพรถติดแออัด พื้นที่ล็อบบี้ดูโล่งและโปร่งกว่าโรงแรมขนาดเล็กทั่วไป ส่วนห้องอาหารก็มีบรรยากาศอบอุ่นสบาย พร้อมการบริการที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า
ที่ผ่านมา ทดลองเปิดบริการตั้งแต่ มิ.ย. 2554 และเปิดบริการเป็นทางการมากว่า 1 ปี ลูกค้าที่มาพัก 95% เป็นชาวต่างชาติ ที่เหลือเป็นคนไทย โดยชาวต่างชาตินั้นมาจากหลากหลายชาติ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคู่รัก คู่เพื่อน ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2555 ถึงปัจจุบัน อัตราเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 8090% แต่บางวันห้องพักเต็ม สอดคล้องกับสถานการณ์ท่องเที่ยวกรุงเทพฯ ที่ดีขึ้นต่อเนื่องส่วนปีนี้คาดว่าอัตราเข้าพักเฉลี่ยจะอยู่ที่ 80% เพราะเชื่อว่าการท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตดี หากไม่มีปัญหาการเมืองหรือภัยพิบัติใดเข้ามากระทบ โดยจำนวนโรงแรมที่มีอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะมองว่าห้องพักยังไม่ล้นตลาด เพียงแต่โรงแรมแต่ละแห่งต้องใช้ศักยภาพเต็มที่เพื่อดึงลูกค้ามาใช้บริการ คงไม่ใช่การอยู่เฉยๆ แล้วจะมีลูกค้าเข้ามาง่ายๆ
นับเป็นโรงแรมที่ถูกออกแบบในทุกขั้นตอน ซึ่งถือเป็นโรงแรมที่หายากมากที่จะใส่ใจทุกส่วนของธุรกิจ และเป็นโรงแรมที่น่าจับตามากๆ สำหรับนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่แสวงหาความแปลกใหม่ให้ชีวิต


