ฮอนด้ากับโรงงานรถยนต์แห่งที่2ในไทย
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งที่เผยแพร่ไปทั่วโลก คือ บริษัท ฮอนด้า ได้ประกาศก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพสำคัญว่า ไทยจะยังคงเป็นฐานการผลิตรถยนต์สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไปอีกในอนาคต ภายหลังที่โตโยต้าก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 4 ในไทย และนิสสันได้ประกาศก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ในไทยเมื่อปี 2555
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งที่เผยแพร่ไปทั่วโลก คือ บริษัท ฮอนด้า ได้ประกาศก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพสำคัญว่า ไทยจะยังคงเป็นฐานการผลิตรถยนต์สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไปอีกในอนาคต ภายหลังที่โตโยต้าก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 4 ในไทย และนิสสันได้ประกาศก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ในไทยเมื่อปี 2555
สำหรับฮอนด้าแม้เพิ่งมาทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายรถยนต์ในไทยเมื่อปี 2526 ล่าช้ากว่ารถยนต์ญี่ปุ่นยี่ห้ออื่นๆ เนื่องจากอุปสรรคสำคัญ คือ รัฐบาลในช่วงนั้นมีนโยบายห้ามก่อตั้งโรงงานประกอบรถยนต์เพิ่มเติม ดังนั้น ฮอนด้าจึงต้องไปร่วมลงทุนกับบริษัท บางชัน แอสเซมบลี จากนั้นในปี 2535 ได้ซื้อโรงงานเก่าของบริษัท กรรณสูต ที่เขตมีนบุรี ทำให้เป็นเจ้าของโรงงานของตนเองอย่างเต็มตัว
รถยนต์ฮอนด้าติดตลาดเมืองไทยอย่างรวดเร็วจนแทบไม่น่าเชื่อ จนแซงหน้าบริษัทอื่นๆ กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่มียอดจำหน่ายเป็นอันดับ 2 เป็นรองจากรถยนต์โตโยต้ารายเดียวเท่านั้น เนื่องจากเหตุผลหลายประการ ทั้งในส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีความเยี่ยมยอดทั้งในด้านรูปลักษณ์ สมรรถนะ และความคงทน
สาเหตุอีกประการหนึ่งที่สร้างความนิยมเป็นอย่างมาก คือ ในช่วงนั้นมีคนไทยเข้าไปศึกษาในสหรัฐจำนวนมาก และในช่วงที่ศึกษาก็ได้ทดลองใช้รถยนต์ฮอนด้าที่เป็นที่นิยมอย่างมากในสหรัฐ และรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก ดังนั้น เมื่อเดินทางกลับมาประเทศไทย ก็นิยมชื้อรถยนต์ฮอนด้ามาใช้งาน เสริมสร้างภาพลักษณ์ว่าฮอนด้าเป็นรถยนต์ของคนรุ่นใหม่ที่เป็นนักเรียนนอกอย่างไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโรงงานประกอบรถยนต์ 2 แห่งข้างต้น มีความคับแคบมาก ประกอบกับรัฐบาลได้เปิดเสรีการตั้งโรงงานรถยนต์ ฮอนด้าจึงยกเลิกการผลิตที่ 2 โรงงานข้างต้น และก่อสร้างฐานผลิตรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้าใหญ่ที่สุดในอาเซียนขึ้นที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา ได้เปิดดำเนินการเมื่อเดือน มี.ค. 2539
ฮอนด้ายังนับว่ามีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “อีโคคาร์” จนรัฐบาลประกาศให้สิทธิและประโยชน์เป็นกรณีพิเศษแก่รถยนต์ประเภทนี้ แต่ต้องถูกหักเหลี่ยมโดยนิสสัน ซึ่งแม้ไม่ได้เป็นต้นคิดและผลักดันรถยนต์แบบนี้มาตั้งแต่ต้นแต่อย่างใด แต่เมื่อรัฐบาลประกาศนโยบายประเภทนี้ ก็ได้ใช้เป็นโอกาสทองสำคัญในการผลิตจำหน่ายรถยนต์นิสสัน มาร์ชจนกลายเป็นรถยนต์อีโคคาร์แบบแรกที่วางจำหน่ายเมื่อต้นปี 2553 ขายดีเทน้ำเทท่าจนผลิตไม่ทัน
ขณะที่รถยนต์อีโคคาร์ของฮอนด้า คือ บริโอ้ วางจำหน่ายช้ากว่ามาร์ชเมื่อต้นปี 2554 นอกจากนี้ ยังผลิตจำหน่ายอย่างกระท่อนกระแท่น เนื่องจากปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนจากสึนามิในญี่ปุ่นเมื่อต้นปี 2554 และน้ำท่วมในไทยเมื่อปลายปี 2554 เริ่มมาจำหน่ายอย่างจริงๆ จังๆ เมื่อกลางปี 2555 นี่เอง ช้ากว่ามาร์ช 2 ปีเต็ม
สำหรับโรงงานฮอนด้าที่โรจนะมีทำเลที่ตั้งเป็นพื้นที่ลุ่ม และต้องเผชิญกับน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2554 โดยนับเป็นโรงงานประกอบรถยนต์แห่งเดียวเท่านั้นของไทยที่ถูกน้ำท่วมในครั้งนั้น ทำให้เครื่องจักรเสียหายทั้งหมด รวมถึงท่วมรถยนต์สำเร็จรูปอีกมากถึง 1,000 คัน ซึ่งผลิตแล้วเสร็จแต่ขนออกมาไม่ทัน แต่ในช่วงวิกฤตปลายปี 2554 นั้น พิทักษ์ พฤทธิสาริกร ผู้บริหารของฮอนด้า ได้กล่าวอย่างมั่นใจว่าฮอนด้าจะต้องกลับมาแข็งแรงกว่าเดิม
กาลเวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง เนื่องจากได้พัฒนาตนเองอย่างรวดเร็ว สามารถเปิดสายการผลิตขึ้นใหม่ใน มี.ค. 2555 ภายหลังน้ำลดเพียง 4 เดือน ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงปลายปี 2555 ทำสถิติจำหน่ายรถยนต์จำนวนมากแซงหน้าเจ้าเก่า คือโตโยต้า ที่ครองตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลอันดับ 1 ของไทยมาเป็นเวลายาวนานหลายสิบปีติดต่อกัน ซึ่งไม่แน่ว่าตัวเลขรวมในปี 2556 ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นหมู่เป็นจ่า ฮอนด้าจะโค่นโตโยต้าได้สำเร็จหรือไม่
ล่าสุดเมื่อต้นเดือน ก.พ. 2555 ฮอนด้าได้ประกาศลงทุนกว่า 17,150 ล้านบาท เพื่อตั้งฐานการผลิตแห่งใหม่ขึ้นที่ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ดอน น้ำไม่ท่วม บนพื้นที่กว้างขวางถึง 1,600 ไร่ กำลังผลิตเบื้องต้น 1.2 แสนคัน/ปี เพิ่มการจ้างงาน 2,500 คน กำหนดเปิดดำเนินการปี 2558 ขณะเดียวกันจะขยายกำลังผลิตโรงงานโรจนะเป็น 3 แสนคัน/ปี รวมเป็น 4.2 แสนคัน/ปี เพื่อกลับมาอย่างยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งกว่าเดิม


