posttoday

เถ้าแก่น้อย เกาะบันเทิงเกาหลีกรุยทางสู่ระดับโลก

30 มกราคม 2556

ขนมขบเคี้ยวประเภทสแน็ก สาหร่ายทะเล ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา หลังจากเถ้าแก่น้อย ที่ถือเป็นบริษัทรายแรกๆ ได้เข้ามาปลุกตลาด จนทำให้สแน็กประเภทนี้มีมูลค่าตลาดรวมเมื่อปีที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 2,800 ล้านบาท และคาดว่าอีก 3-4 ปี จะแตะ 4,000 ล้านบาท ถือว่ามีมูลค่าสูงเทียบเท่ากับตลาดสแน็กประเภทฝรั่งเลยทีเดียว เพราะตลาดขนมดังกล่าวยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี

ขนมขบเคี้ยวประเภทสแน็ก สาหร่ายทะเล ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา หลังจากเถ้าแก่น้อย ที่ถือเป็นบริษัทรายแรกๆ ได้เข้ามาปลุกตลาด จนทำให้สแน็กประเภทนี้มีมูลค่าตลาดรวมเมื่อปีที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 2,800 ล้านบาท และคาดว่าอีก 3-4 ปี จะแตะ 4,000 ล้านบาท ถือว่ามีมูลค่าสูงเทียบเท่ากับตลาดสแน็กประเภทฝรั่งเลยทีเดียว เพราะตลาดขนมดังกล่าวยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี

จุดนี้เองที่ทำให้ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง ผู้ผลิตสินค้าสาหร่ายทะเลกรอบและของทานเล่น แบรนด์ เถ้าแก่น้อย กล่าวว่า ในอีก 10 ปี จะผลักดันขนมขบเคี้ยวสาหร่ายทะเลแบรนด์เถ้าแก่น้อยไปโด่งดังทั่วโลก หรือเป็นระดับโกลบอลแบรนด์ให้ได้ โดยจะต้องไปบุกตลาดสหรัฐอเมริกาอย่างจริงจัง เหมือนกับเครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์ดังของไทยอย่าง “เรดบูล”

กลยุทธ์ที่จะทำให้ก้าวไปถึงระดับนั้นได้ จะต้องเริ่มจากทำให้คนเอเชียเป็นที่รู้จัก โดยเฉพาะกลุ่มคนจีนและอินเดีย โดยใน 3 ปีข้างหน้า มีแผนจะไปก่อตั้งโรงงานต่างประเทศในประเทศจีนให้เป็นฐานการผลิตแห่งใหม่ โดยอยู่ระหว่างพิจารณาทำเลและมูลค่าลงทุน

ขณะที่ในปัจจุบันบริษัทใช้โรงงานในไทยผลิตสินค้าส่งออกไป 30 ประเทศ โดยทำตลาดอย่างหนักในอาเซียนเป็นหลักและต่อเนื่อง

“เราทำตลาดต่างประเทศ หนักมาก ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย อินโดนีเซีย เนื่องจากคาดว่าในอีก 3-4 ปีข้างหน้าตลาดจะใหญ่กว่าเมืองไทย เนื่องจากประชากรประเทศเหล่านี้มีการบริโภคสาหร่ายทะเลมากกว่าคนไทย” อิทธิพัทธ์ กล่าว

ขณะที่ตลาดในอาเซียนอย่างประเทศ พม่า กัมพูชา และลาวนั้น บริษัทยังไม่ได้เจาะลึกสักเท่าไรนัก เนื่องจากต้องการวางระบบการขนส่งให้ดีก่อนการเข้าไปตั้งโรงงานผลิต รวมถึงต้องปรับขนาดของแพ็กเกจจิงให้มีขนาดเล็กลง เนื่องจากประเทศเหล่านี้กำลังพัฒนาและกำลังซื้อของประชากรยังไม่สูงนัก

สำหรับหัวใจสำคัญที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จได้นั้น คือการเลือกใช้ ไอดอล มาร์เก็ตติง หรือการใช้วงบอยแบนด์จากประเทศเกาหลีมาเป็นพรีเซนเตอร์สินค้า เนื่องจากได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งจากกลุ่มวัยรุ่นไทยและวัยรุ่นในอีกหลายประเทศในเอเชีย จากก่อนหน้านี้ได้ใช้วง BEAST เป็นพรีเซนเตอร์ และล่าสุดได้เลือกวง 2 PM มาเป็นพรีเซนเตอร์ โดยจะมีการจัดกิจกรรมการตลาดในต่างประเทศ เพื่อให้เข้ามาดูคอนเสิร์ตในเมืองไทย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทมีแผนจะเปิดตัวสแน็กสาหร่ายทะเล 2 รสชาติใหม่ โดยในช่วงกลางเดือน ก.พ.นี้ จะเปิดตัวรสแองกรี สไปซี่ บาร์บีคิว และอยู่ระหว่างการพัฒนาสินค้าอีกตัว คาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงเดือน ก.ค.ปีนี้

สำหรับในปีที่ผ่านมาบริษัทได้เพิ่มกำลังการผลิตสินค้าอีก 30% เป็น 2 ล้านแผ่นต่อวัน หลังจากได้เริ่มย้ายโรงงานจากเดิมอยู่ที่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ไปอยู่ จ.ปทุมธานี บนเนื้อที่ 44 ไร่ ซึ่งแบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 เฟส เฟสแรกเนื้อที่ 12 ไร่ ใช้เงินลงทุน 70 ล้านบาท และเฟสที่ 2 อีก 32 ไร่

สำหรับยอดขายในปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายรวม 2,600 ล้านบาท เมื่อนับรวมกับบริษัทในเครืออีก 2 บริษัท แต่หากแยกเฉพาะธุรกิจสแน็ก สาหร่ายทะเล มียอดขาย 2,400 ล้านบาท มาจากสแน็กสาหร่ายทะเล 90% อีก 10% มาจากขนมขึ้นรูป โดยมียอดขายจากตลาดต่างประเทศ 40% ขณะที่เป้ายอดขายรวมปีนี้อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดในประเทศ 2,000 ล้านบาท และต่างประเทศ 1,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 7 ปีข้างหน้า บริษัทมีแผนจะลงทุนด้วยงบประมาณไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาท รวมไปถึงแผนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ ขณะนี้ได้ บริษัท เอเซีย พลัส เป็นที่ปรึกษาทางด้านการเงิน พร้อมกับตั้งเป้าว่าจะสร้างยอดขายใน 7 ปีข้างหน้า ให้ได้ 1 หมื่นล้านบาท

ก่อนที่จะกรุยทางไปสู่ระดับโลก ที่ได้ไปปักธงขายในตลาดอเมริกาในอีก 10 ปีข้างหน้า

ข่าวล่าสุด

ป.ป.ส. ผนึก DEA สหรัฐฯ เตรียมจัดประชุม Regional IDEC 2026 ที่เชียงราย