posttoday

“ชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์”ผู้นำซัสโก้

26 ธันวาคม 2555

ปีนี้เป็นปีรุ่งเรืองของ “ชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์” กรรมการผู้จัดการบริษัท สยามสหบริการ (SUSCO) ที่นอกจาก SUSCO ได้รางวัลบริษัทจดทะเบียนยอดเยี่ยมประเภทมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาทแล้ว ยังเข้าซื้อกิจการปิโตรนาส บริษัทน้ำมันสัญชาติมาเลเซียในไทยได้สำเร็จ

ปีนี้เป็นปีรุ่งเรืองของ “ชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์” กรรมการผู้จัดการบริษัท สยามสหบริการ (SUSCO) ที่นอกจาก SUSCO ได้รางวัลบริษัทจดทะเบียนยอดเยี่ยมประเภทมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาทแล้ว ยังเข้าซื้อกิจการปิโตรนาส บริษัทน้ำมันสัญชาติมาเลเซียในไทยได้สำเร็จ

“ชัยฤทธิ์” นับว่าเป็นรุ่นที่ 2 แล้ว นับตั้งแต่ปี 2520 ที่“วีระ สิมะโรจน์” บิดาของเขาก่อตั้งบริษัทขึ้นมา

“เดิมเราเป็นบริษัทเดินเรือทะเล โดยรับขนส่งน้ำมันให้บริษัทน้ำมันอย่าง เชลล์ เอสโซ่ ปตท. และคาลเท็กซ์ หลังจากนั้นเราเห็นช่องทางว่าน่าจะขายน้ำมันด้วยดีกว่า คุณพ่อก็เลยตั้งบริษัทขึ้นมาเมื่อปี 2529”

ผู้นำ SUSCO วัย 45 ปี จบปริญญาตรีคณะวิศวกรรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากนั้นคว้าปริญญาโทด้านบริหารทั่วไป จากมหาวิทยาลัยอินเดียนาโปลิส รัฐอินเดียนา สหรัฐอเมริกาอีกหนึ่งใบ ก่อนที่จะมาเป็นวิศวกรประจำคลังน้ำมันสุราษฎร์ธานีเมื่อปี 2535 หลังบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานะบริษัทรับอนุญาตได้ 2 ปี

ปี 2536 SUSCO ยกระดับจากบริษัทรับอนุญาตเป็นบริษัทจดทะเบียน

“ระหว่างที่ทำงานที่ SUSCO ได้แต่คิดมาตลอดว่าทำไมบริษัทขาดทุนเรื่อยมาทั้งที่มีคลังน้ำมัน มีรถ และมีเรือ รวมถึงที่ดินเป็นของบริษัทเอง อย่างปี 2533 บริษัทมีรายได้ 1,200 ล้านบาท แต่มีค่าใช้จ่าย 100 ล้านบาท เท่าอัตรากำไรจากธุรกิจน้ำมัน”

จนกระทั่งปี 2545 ได้ขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการ จึงได้แก้โจทย์ที่ตัวเองตั้งไว้

ตอนนั้นญาติผู้น้องสองคนของเขา “มาวีร์ สิมะโรจน์” เป็นผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจแทน “ภิมุข สิมะโรจน์” พี่ชายที่ออกไปเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และ “พงศธรฉัตรนะรัชต์” เป็นรองผู้จัดการใหญ่สายงานบริหารและรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน

“วันแรกที่เข้ามาคือวันที่ 1 ก.พ. รู้ผลตัดสินบริษัทแพ้คดีต้องจ่ายหนี้ให้เจ้าหนี้ที่เป็นสถาบันการเงินต่างประเทศกว่า200 ล้านบาททันที คุณมาวีร์ ซึ่งเคยเป็นวาณิชธนากรมาก่อน แนะนำให้เจรจาปรับโครงสร้างหนี้” ชัยฤทธิ์ กล่าว

คดีฟ้องร้องดังกล่าวได้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2540 ที่บริษัทประสบปัญหาดังเช่นบริษัทอื่น อันเนื่องมาจากค่าเงินบาทลอยตัว ทำให้ค่าเงินบาทต่อเหรียญสหรัฐที่เคยต่ำประมาณ 25 บาท พุ่งขึ้นเป็น 4050 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

ในปี 2545 ที่ทีมนี้ขึ้นมาบริหารงาน ส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทกว่า 700 ล้านบาท ต่ำกว่าหนี้สินที่สูงถึง 1,000 ล้านบาท และไม่มีเงินสดบริหารงาน หนี้ซื้อน้ำมันที่ได้เครดิตล่วงหน้า 6 เดือน พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถชำระได้ทัน มีการหยุดให้เครดิตซื้อน้ำมันจนต้องเจรจาขอปรับโครงสร้างหนี้

“หลังจากเจรจาสำเร็จ เขายอมลดหนี้ให้จาก 6 ล้านเหรียญสหรัฐ เหลือเพียง 4.4 ล้านเหรียญสหรัฐ และให้เวลาผ่อนชำระ 2 ปี จากนั้นเจรจาหนี้กับเจ้าหนี้ในประเทศ ตอนนั้นความที่ผมอยู่กับบริษัทนี้มาตั้งแต่ปี 2535 ที่เรียนจบมา ก็เห็นบริษัทมาตลอด ก็เริ่มรู้ว่าต้องมีการตัดค่าใช้จ่ายก่อนในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี จึงมีการปิดปั๊มที่ไม่ทำกำไรประมาณ 20 แห่ง เหลือ 130 แห่ง หลังจากเศรษฐกิจฟื้นก็ต้องมาเพิ่มยอดขาย” ชัยฤทธิ์ กล่าว

ปี 2545 SUSCO มีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ก้อนแรก 113 ล้านบาท จากนั้นเดินหน้าเจรจาหนี้กับบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) จนจบ และมีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ บสท. 35 ล้านบาท ในปี 2546 พร้อมกับการที่ส่วนแบ่งการตลาดยอดขายน้ำมันเพิ่มขึ้นตามลำดับ

นั่นเป็นที่มาของการบุกขยายสถานีบริการน้ำมันในปีนี้ของ SUSCO ในสภาวะที่มีหนี้สินเพียง 600 ล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้นสูงถึง 1,300 ล้านบาท

ปี 2546 บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลได้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี หุ้นละ 0.05 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน 4.1% และมีกำไรจนถึงปี 2547 จากนั้นประสบปัญหาขาดทุน เพราะตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้มีการปรับเกณฑ์การด้อยค่าของสินทรัพย์ ประกอบกับราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นจาก 3040 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เป็น 147 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

อย่างไรก็ตาม 3 ปีที่ผ่านมาบริษัทฟื้นตัวอีกครั้งหนึ่ง โดยมีกำไรอย่างต่อเนื่องจากปี 2552 มีกำไรสุทธิ 114 ล้านบาท ปี 2553 มีกำไรสุทธิ 79 ล้านบาท และปี 2554 มีกำไรสุทธิ 144 ล้านบาท จนส่งผลให้ได้รับรางวัลบริษัทจดทะเบียนยอดเยี่ยมประจำปี 2555 ดังกล่าว

เรียกได้ว่าเป็นการบริหารแบบมืออาชีพของตระกูล

“ความที่เราเป็นญาติกัน ทำให้บริหารงานกันด้วยความไว้วางใจ และการที่บริษัทฝ่าฟันได้มาจนทุกวันนี้ ก็เป็นการบ่งบอกได้ว่าการเป็นเจ้าของนั้นเป็นภาระผูกพันอย่างหนึ่งว่า แม้จะได้เงินเดือนน้อยก็ลุย เมื่อเผชิญวิกฤตก็ต้องอยู่ให้ได้ ทั้งนี้ ถ้าหากเป็นคนในครอบครัวที่ไม่มีความรู้ความสามารถจริง เราคงไม่ส่งเข้ามาทำ”

“มาวีร์” จบปริญญาโทคณะบริหารธุรกิจด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยเดียวกับบิดาของเขา หลังจากนั้นไปเป็นวาณิชธนากรที่ธนาคารกสิกรไทย ก่อนที่จะเข้ามาแทนที่ “ภิมุข” พี่ชายของเขาที่ออกไปเล่นการเมือง โดยเข้ามาในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เมื่อปี 2544 และจากนั้นได้ขึ้นมาเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการจนกระทั่งปัจจุบัน

ด้าน “พงศธร” จบปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยเซาท์เทิร์น อิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกามีประสบการณ์งานใกล้เคียงกับ “ชัยฤทธิ์” คือเข้ามาดูแลคลังน้ำมันที่สุราษฎร์ธานี ในปี 2539 และดูแลสายการเงินและค้าปลีกมาตลอด จนกระทั่งขึ้นมาเป็นรองกรรมการผู้จัดการเมื่อปี 2545 จนถึงปัจจุบัน

แม้ว่าขณะนี้รุ่นก่อตั้ง ทั้ง “วีระ” บิดาของเขา อดีตรองประธานกรรมการ และ “มงคล” ไม่ได้บริหารกิจการแล้ว แต่ยังมีรุ่นที่สองของตระกูลที่เข้ามารับช่วงต่ออย่างดี

นอกจากงานของเขาก้าวหน้าตามลำดับแล้ว ชีวิตครอบครัวของ“ชัยฤทธิ์” ได้มีพัฒนาการไปเช่นเดียวกัน โดยลูกสาวและลูกชายของเขาเติบโตย่างเข้าสู่วัยรุ่น โดยลูกสาวคนโตวัย 16 ปี ได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่แคนาดา จากที่เรียนอยู่เซนต์ฟรังฯ ขณะที่ลูกชายคนเล็กวัย 14 ปี เรียนชั้น ม.3 ที่เซนต์คาเบรียล

ยามว่างของเขาจึงเต็มที่กับการตีกอล์ฟและตีแบดมินตันกับพนักงานและลูกค้า

ข่าวล่าสุด

แข้งไทยช็อก! นำ 2 ตุง กลับพลิกแพ้ เวียดนาม 2-3 แค่รองแชมป์ซีเกมส์