"ผมได้ชีวิตใหม่จากในหลวง" คำสารภาพอดีตนักโทษประหาร นช.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ
ในวัย 60 ปี นช.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ ยังดูหล่อเหลา สง่าสมวัย เขาตัดผมสั้นเกรียน
โดย...อินทรชัย พาณิชกุล
ในวัย 60 ปี นช.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ ยังดูหล่อเหลา สง่าสมวัย เขาตัดผมสั้นเกรียน แต่งกายเรียบร้อยด้วยชุดเสื้อโปโลสีส้ม ใส่ในกางเกงขาสั้นสีกรมท่า รองเท้าแตะสีขาวสะอาด
รอยยิ้มบางๆ สอดประสานแววตาอบอุ่น ท่าทางเป็นมิตร ผิดกับภาพสีหน้าอันนิ่งขรึมเยือกเย็น ไร้ความรู้สึกของนายแพทย์ผู้ตกเป็นจำเลยในคดีฆ่าหั่นศพเมียตัวเองเมื่อ 11 ปีก่อน อย่างกับคนละคน
“อยู่ในนี้มา 9 ปีแล้วครับ กิจวัตรประจำวันก็จะซ้ำๆ ซากๆ กลางคืนถูกขังอยู่บนตึก รุ่งเช้าผมตื่นประมาณ 6 โมง สัก 7-8 โมง ผมจะวิ่งออกกำลังกาย จากนั้นก็อาบน้ำ กินข้าว เสร็จแล้วก็ดูคนไข้ ระหว่างนั้นอาจถูกตามตัวไปช่วยดูอะไรต่อมิอะไร เช่น ดูเอกซเรย์ ช่วยเย็บแผลในห้องฉุกเฉิน งานไม่หนักเท่าไหร่ ข้อดีในนี้คือเราไม่ต้องออกไปไหน (หัวเราะ)”
นช.วิสุทธิ์ ที่เหล่าผู้คุมและเพื่อนผู้ต้องขังเรียกอย่างให้เกียรติว่า “หมอ” หรือ “อาจารย์” เล่าให้ฟังขณะทอดขานั่งสบายใจบนเก้าอี้ ท่ามกลางบรรยากาศฝนพรำ โดยมีเบื้องหลังเป็นแนวกำแพงคอนกรีตสูงทะมึนล้อมรั้วไฟฟ้า ผู้คุมกระชับปืนไรเฟิลยืนจังก้าอยู่บนหอสังเกตการณ์
“ช่วงเข้ามาใหม่ๆ เป็นภาวะค่อนข้างหนัก จากคนธรรมดามีหน้าที่การงาน มีลาภ ยศ สรรเสริญ ทุกอย่างจบสิ้นหมด ต้องสูญเสียอิสรภาพ เข้ามาอยู่ในแดนประหารที่มีกฎเกณฑ์เข้มงวด อยู่ในห้องขังที่แออัดคับแคบ ไม่มีความเป็นส่วนตัว ที่ทรมานจิตใจที่สุด คือ การถูกล่ามโซ่ตีตรวนเหมือนเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง”
“ทั้งเครียด ฟุ้งซ่าน คิดวนเวียนซ้ำๆ เดิมๆ ว่าทำไมเราต้องมาเป็นแบบนี้ คือใจเรายังไม่ยอมรับสภาพความจริง ไม่ยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ คอยแต่จะโทษตัวเอง โทษสิ่งแวดล้อม โทษอะไรต่างๆ พยายามดิ้นรนทุรนทุรายทุกวิถีทางให้หลุดพ้นไปจากนรกขุมนี้ ให้ได้รับการประกันตัว ได้ต่อสู้ในศาล ได้ปล่อยตัวออกไป”
ถึงอย่างนั้น อดีตสูตินรีแพทย์มือหนึ่งผู้ต้องกลายมาเป็นนักโทษประหาร ยอมรับว่าไม่เคยคิดฆ่าตัวตายแม้แต่ครั้งเดียว
“มีนักโทษประหารไม่น้อยพึ่งพายากล่อมประสาท บางคนออกอาการเพี้ยน หลุด ที่นี่เขาเรียกรั่ว หลายคนสูบบุหรี่จัดมวนต่อมวน เพื่อให้แต่ละวันผ่านพ้นไป แต่ผมไม่คิดทำร้ายตัวเอง ไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย คนกลัวว่าเราจะฆ่าตัวตาย นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่หลายคนเข้ามาช่วยดูแล ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าแดน เสมียนแดน เพื่อนๆ ผู้ต้องขัง ทุกคนเข้ามาตบบ่าตบไหล่ พูดคุยให้กำลังใจ ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงข้างนอกก็คอยมาเยี่ยม เอาหนังสือธรรมะมาให้อ่าน เอาพระ เอาน้ำมนต์มาให้ เขาให้อะไรมาก็ใช้หมด แนะนำอะไรก็ทำหมด
“ทุกคนก็รู้จักเรา การเป็นนักโทษมีชื่อเสียงมีผลดีมากกว่า สังคมที่นี่เขาไม่ได้มาสนใจว่าคุณทำผิดอะไรมา ทุกคนเหมือนผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกัน เขาก็ช่วยดูแลเราดี ให้ข้อแนะนำอะไรต่างๆ เยอะแยะ ทำให้เราไม่ต้องมาลำบาก เราเองก็เป็นประโยชน์กับเขาเวลาเขาไม่สบายก็มาถาม มาปรึกษา มีหนังสือก็ปันกันอ่าน มีของกินญาติมาเยี่ยมก็แบ่งกันไป”
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว เขาก็ไม่ได้ดีขึ้นชั่วข้ามคืน ต้องล้มลุกคลุกคลานแทบแย่อยู่นานเป็นปี กว่าจะเยียวยาหัวใจจนพอตั้งตัวได้
“เมื่อไหร่ที่เรายอมรับสภาพความจริงได้ว่าเราเป็นนักโทษ ความทุกข์ทรมานใจ ความกระวนกระวายก็หายไป เมื่อยอมรับได้ สายตาก็เริ่มเห็นอะไรมากขึ้น เห็นคนรอบข้าง เห็นสภาพแวดล้อมชัดขึ้น แล้วมันก็จะดึงความสนใจในตัวเองออกไป ทำให้เราสามารถไปทำอะไรเพื่อผู้อื่นได้”
หนังสือกับการวิ่งออกกำลังกาย สองสิ่งที่นำพาเขาออกไปจากนรกอเวจีแห่งนี้ ทำให้เขากินอิ่มนอนหลับ ในช่วงที่ยังใช้ชีวิตปกติในโลกกว้าง หมอวิสุทธิ์ ถือเป็นนักวิ่งฮาล์ฟมาราธอนตัวยง แต่ในโลกแคบหลังกำแพงคุก ความสุขเล็กๆ น้อยๆ อาจหมายถึงการวิ่งเหยาะๆ ไปรอบแดน พลางสูดอากาศยามเช้าตรู่เข้าปอดให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้
“การวิ่งออกกำลังกายทุกๆ เช้าบนรอบลานซีเมนต์ขนาดเท่าสนามบาสเกตบอลไปเรื่อยๆ ไม่หยุดพัก มันทำให้ความหนักอกหนักใจค่อยๆ มลายหายไปกับเม็ดเหงื่อ บนลานออกกำลังกาย ผมไม่คิดถึงสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากการวิ่ง”
“หนังสือหนังหาหลายเล่มที่พรรคพวกส่งมาให้อ่าน นิตยสาร หนังสือแปล นิยาย แม้แต่การ์ตูน ผมอ่านหมดทุกเล่ม เล่มสำคัญที่ส่งผลต่อผมมากคือ เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึงอะไร เรียบเรียงโดย พิพัฒน์ ยอดพฤติการณ์ ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ช่วยให้ผมมีอิสรภาพจากปีศาจร้ายในใจ คือ ความโลภ โกรธ หลง ไม่ยอมผูกมัดกับตัวเองกับลาภ ยศ สรรเสริญ รู้จักฝึกฝนพัฒนาตน พอใจในสิ่งที่ตัวเองได้ ตัวเองเป็น
ชีวิตสอนอะไรเราบ้าง โดย อลิซาเบธ คีบเลอร์รอสส์ และเดวิด เคสเลอร์ เฉพาะบทที่ว่าด้วยการสูญเสีย ปรัชญาชีวิตของ คาลิล ยิบราน เดินทางสู่อิสรภาพของอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ หนังสือพระคิริมานนทสูตร เมตตาภาวนา : คำสอนว่าด้วยรักของหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ งานของท่านพุทธทาส โดยเฉพาะเล่มที่พูดถึงเรื่องตายก่อนตาย และหนังสือธรรมะอีกหลายเล่ม ทั้งหมดช่วยพยุงผมให้รอดจากช่วงที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตมาได้”
เมื่อกายพร้อมใจพร้อม นช.วิสุทธิ์ จึงขออาสาไปช่วยงานในแดนพยาบาล ด้วยความปรารถนาอยากจะใช้ความรู้ความสามารถที่ติดตัวมาจากนอกคุก ช่วยเหลือดูแลรักษาผู้ป่วยโดยไม่หวังผลตอบแทน
“ผมเป็นสูตินรีเวช แต่ที่นี่เป็นผู้ชายหมด (หัวเราะ) ก็มีปัญหาแน่นอน เพราะความรู้ที่มีตอนเป็นนักศึกษาแพทย์ก็ลืมๆ ไปบ้างแล้ว ต้องมาเริ่มต้นทบทวนใหม่ ตอนแรกนึกไม่ออกว่าหลายๆ อย่างคืออะไร เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหอบหืด อาหารเป็นพิษ อาการเจ็บไข้ได้ป่วยทั่วไป ก็ได้คุณหมอมานพ ศรีสุพรรณถาวร (ผู้อำนวยการสถานพยาบาลเรือนจำกลางบางขวาง) คอยให้คำแนะนำ บวกกับอ่านหนังสือตำราแพทย์ที่พรรคพวกหมอส่งมาให้ ทุกอย่างทำให้ผมรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นนักศึกษาแพทย์อีกครั้ง”
ล่าสุดเพิ่งออกพ็อกเกตบุ๊กเล่มแรกของตัวเองชื่อ “กว่าจะฝ่าข้ามความตาย” สำนักพิมพ์มอร์ ออฟ ไลฟ์ อันเป็นผลพวงจากการเข้าค่ายการเขียนในโครงการเรื่องเล่าจากแดนประหาร ภายใต้การสนับสนุนของโครงการกำลังใจในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ร่วมกับเครือข่ายพุทธิกา และคณะนักเขียนสารคดีชื่อดัง
“สิ่งที่ได้จากการเขียนหนังสือ คือ ได้ทบทวนเรื่องราวตัวเอง ทบทวนคนรอบข้าง มันช่วยพัฒนาตัวตนด้านใน ถามว่ามองตัวเองไหม ไม่นะ ถ้าไม่ได้เขียนหนังสือ ชีวิตประจำวันมองแต่คนอื่น ยามเขียนหนังสือเป็นช่วงเวลาที่ได้รู้จักตัวเองมากที่สุด ผมได้ประโยชน์มากจากการเขียนหนังสือ การเขียนเหมือนการเดินทางในจิตใจ”
ระหว่างการถูกคุมขังในเรือนจำ นช.วิสุทธิ์ ได้รับพระราชทานอภัยโทษมาแล้ว 5 ครั้ง หนแรกจากโทษสูงสุดคือประหารชีวิต ลดเหลือจำคุกตลอดชีวิต หนสองลดเหลือ 40 ปี ครั้งต่อมาเหลือ 32 ปี ครั้งที่ 4 ลดเหลือ 21 ปี และล่าสุดคงเหลือโทษจำคุก 17 ปี เมื่อบวกรวมกับ 9 ปีที่รับโทษในนี้ อีกไม่เกิน 8 ปี เขาก็จะเป็นอิสระ
เรื่องที่สร้างความประหลาดใจ เห็นจะเป็นการก้าวออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน เปิดอกเปิดใจถึงชีวิตในคุกบางขวางในฐานะนักโทษประหาร หลังจากปิดปากเงียบมานานเกือบสิบปี
“หนึ่งคือ ผมทำใจได้แล้ว สอง เราให้เกียรติเขา ถ้าเขาอยากรู้ เราก็ Free ถ้าเรายิ่งปิดตัวไม่ให้คนรู้ มันก็เป็น Question อยู่เรื่อย ซึ่งจะไม่ดีต่อตัวเรา เหมือนกับถ้าเราพบกัน ปฏิสัมพันธ์มันก็ง่าย ถ้ามี Question มันก็ไม่ดีต่อกัน”
“หลายคำถามเป็นคำถามที่ดี ถามว่าจะออกไปทำอะไร เราก็ได้ถามตัวเองไปด้วยว่าเราจะทำอะไร ถามเรื่องการให้อภัยตัวเอง ให้อภัยคนอื่น เราก็ได้มาคิดทบทวน ถามเรื่องความทุกข์ ความสุข ชีวิตในคุก เราก็มานั่งทบทวนว่าเรามีความสุขแค่ไหนทุกวันนี้ หรือคำถามว่าคุณจะกลับไปทำผิดอีกไหม มันก็ย้อนกลับมาทำให้เราถามตัวเองว่าเราดูแลจิตใจได้ดีหรือยัง ทำให้เรา Aware คอยเตือนตัวเอง ฝึกตัวเองต่อไป แน่นอนเราคงไม่สามารถกลายเป็นคนดีเลิศ หลุดพ้น เป็นอริยบุคคลได้”
หากพ้นโทษออกไป อะไรหลายๆ อย่างในชีวิตคงไม่มีวันเหมือนเดิม หมอวิสุทธิ์เชื่อเช่นนั้น
“โชคดีที่ผมมีความมั่นใจว่าเราสามารถหาความสุขในชีวิตได้ ในสถานการณ์ต่างๆ ทุกวันนี้ ผมชอบหาความสุขง่ายๆ วันไหนยืนมองหมู่เมฆ เราก็จะเห็นความงามของเมฆ เราวาดภาพก็เห็นความงามของภาพ เราคุยกับคน เราก็เห็นความงามในตัวของเค้า ฉะนั้นมันคงไม่ได้คาดหวังว่าใครจะต้องมามอบสิ่งที่ดีกับเรา แต่เราต้องมอบสิ่งที่ดีแก่ตัวเอง มันอยู่ที่ตัวเรา ต้องฝึกจิตวิญญาณของเรา ถามว่าพร้อมไหม พร้อม พร้อมรับทุกสถานการณ์ แดนประหารที่คนคิดว่ามันเลวร้ายที่สุด เราก็ผ่านมาได้ สังคมภายนอกก็คงไม่ได้เลวร้ายไปกว่าในนี้
ถามว่าออกไปทำอะไรเป็นอันดับแรก สิ่งที่ทำได้คงเป็นการออกไปทดแทนบุญคุณผู้มีพระคุณ คนที่คอยช่วยเหลือให้กำลังใจเราในยามลำบาก เราจะทำอะไรให้เขาเท่าที่อยากจะใช้งานอะไรเรา”
เมื่อถามถึงลูกทั้งสองคน คุณพ่อวัยเกษียณตีสีหน้าเรียบนิ่ง ยิ้มแบบคนที่พยายามซ่อนความกระอักกระอ่วนใจไว้ในอก ก่อนตอบว่า
“เขาเองก็เป็นเด็กหนุ่มสาว การให้กำลังใจอาจไม่มี แต่เราต้องเห็นเขาเป็นกำลังใจของเรา เห็นเขาเป็นสิ่งมีค่า เป็นสิ่งที่เรารอคอย มาเยี่ยมไม่บ่อย ไม่ต้องคาดหวัง นานๆ มีอารมณ์ก็มาที เราก็บอกว่าไม่ต้องกังวล โชคดีมีพรรคพวกเพื่อนฝูงคอยดูแล ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
ของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตนักโทษประหาร เขาบอกชัดถ้อยชัดคำว่าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่
“ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากในหลวง เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เหมือนได้ชีวิตใหม่มา แล้วได้มาทบทวนว่าเราจะใช้ชีวิตใหม่ของเราต่อไปยังไง ความรู้สึกว่าตัวเองได้รับพระราชทานชีวิตจากในหลวง ทำให้ผมตระหนักว่าต้องทะนุถนอมชีวิตใหม่นี้อย่างดีที่สุด ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต เพราะชีวิตนี้เป็นของสูง มีค่า และหายาก”
หยาดน้ำใสเอ่อท้นในดวงตา ริมฝีปากเม้มบางเป็นเส้นตรงปรากฏขึ้นบนใบหน้า พร้อมกับบทสนทนาที่จบลงของ นช.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ
อดีตนักโทษประหารผู้ได้รับชีวิตใหม่อีกครั้ง จากหนังสือ การวิ่ง และพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง


