มือปราบเอ็นพีแอล'ศรัณย์ทร'
กว่า 2 ปีที่ธนาคารไทยพาณิชย์แยกกลุ่มธุรกิจพิเศษออกมาโดยเฉพาะ พร้อมทั้งมอบหมายให้ “ศรัณย์ทร ชุติมา”
โดย...เบญจมาศ เลิศไพบูลย์
กว่า 2 ปีที่ธนาคารไทยพาณิชย์แยกกลุ่มธุรกิจพิเศษออกมาโดยเฉพาะ พร้อมทั้งมอบหมายให้ “ศรัณย์ทร ชุติมา” รองผู้จัดการใหญ่ เป็นหมอรักษาลูกค้าที่เริ่มมีอาการป่วยไข้ทางธุรกิจ และต้องกลายเป็นหมอผ่าตัดฉุกเฉินกรณีลูกค้าเป็นหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) นี่คือภารกิจ 2 ส่วนหลักของกลุ่มธุรกิจพิเศษ ที่หมอใหญ่ศรัณย์ทรต้องรับผิดชอบ และคอยสะสาง
ศรัณย์ทร บอกว่า ปัจจุบันมูลหนี้ลูกค้าที่ยังไม่เป็นเอ็นพีแอล แต่สัญญาณไม่ดีมีจำนวน 5 หมื่นล้านบาท เป็นสัดส่วนมากกว่าลูกค้าที่เป็นเอ็นพีแอล ลูกค้ากลุ่มนี้ต้องการความช่วยเหลือจากธนาคาร โดยธนาคารต้องเข้าถึงตัวก่อนจะสายเกินไป เหมือนหมอต้องคอยตรวจอาการผู้ป่วย ตามกฎของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หากลูกค้าไม่ชำระดอกเบี้ยหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขภายใน 90 วัน จะเข้าไปอยู่ในกลุ่มลูกค้าเอ็นพีแอลทันที
และเมื่อถึงขณะนั้น ลูกค้าก็เจ็บ ธนาคารก็เจ็บ เรียกว่าเจ็บตัวกันทั้งคู่ ไม่เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
“ถ้าเรามีปรอทวัดไข้ที่ดี จะสามารถวัดไข้กลุ่มลูกค้าที่ส่งสัญญาณว่าต้องคอยติดตามก่อนเป็นเอ็นพีแอลได้ เพราะบางทีลูกค้าก็ไม่รู้ตัว แต่ธนาคารจะรู้สึกได้ก่อนลูกค้า เช่น ปกติถ้าลูกค้าชำระหนี้ตรงเวลาตลอด ไม่เคยขาดส่ง พอมาวันหนึ่งเกิดชำระล่าช้า เริ่มเป็นสัญญาณว่ามีเหตุไม่ปกติเกิดขึ้นกับลูกค้า ก็อาจมีการโทรศัพท์ไปถามว่าไปต่างประเทศ หรือติดธุระที่ไหน กระทั่งลืมชำระเงินหรือเปล่า เป็นวิธีเริ่มต้นของธนาคาร แล้วคอยดูว่าจะช่วยกันแก้ปัญหาด้วยวิธีใด” ศรัณย์ทร กล่าว
หน้าที่การทำงานของกลุ่มธุรกิจพิเศษจึงต้องประสานทั้งกับกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ กลุ่มลูกค้าขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และกลุ่มลูกค้ารายย่อย แต่กรณีของกลุ่มลูกค้ารายย่อยนั้น ฝั่งสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และบัตรเครดิต ฝ่ายสินเชื่อลูกค้ารายย่อยจะเป็นผู้ดูแลและติดตามลูกค้าเอง เพราะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์หากธนาคารยึดมาก็จะนำไปขายทอดตลาด ไม่ได้เก็บไว้ หมอใหญ่ศรัณย์ทรออกตัว “ผมไม่มีผู้เชี่ยวชาญการติดตามหนี้ หน้าที่ของผมคือหาโซลูชันลูกค้าให้เจอ”
การจับเข่าคุยครั้งนี้ ได้อัพเดตสถานการณ์ลูกค้าปัจจุบัน เพราะหลายธุรกิจเริ่มคางเหลืองจากสถานการณ์ในยุโรป (อียู) อาจลากยาวไม่จบอย่างง่าย
ศรัณย์ทร ฟันธงเปรี้ยงไปว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องจับตาจากนี้ อันดับหนึ่ง ธุรกิจโรงแรม 5 ดาว เพราะลูกค้าที่เข้าพักส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประเทศอียู เมื่อเศรษฐกิจโลกมีปัญหา ก็ทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ลดลง ขณะนี้โรงแรม 5 ดาว ในกรุงเทพฯ เริ่มทำธุรกิจลำบาก ธนาคารต้องหาทางเข้าไปช่วย แต่ในบางพื้นที่ เช่น ภูเก็ต ยังไปได้
รองลงมาเป็นกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีที่ทำธุรกิจส่งออก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร เสื้อผ้าสำเร็จรูป เศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นครั้งนี้กระทบกลุ่มส่งออกอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ทำธุรกิจส่งออกยังพอไหว หากเป็นเอสเอ็มอีสายป่านสั้นกว่า ธนาคารก็ต้องยืดระยะเวลาการชำระหนี้ ให้ลูกค้าเอาตัวรอดได้ในระยะหนึ่ง
ส่วนกลุ่มสินค้าเกษตร อาทิ ยางพารา ขณะนี้ราคาตก จึงเริ่มเห็นปัญหาบ้างแล้ว เพราะรายได้ลูกค้าน้อยลง
ช่วงนี้จึงเป็นกลุ่มลูกค้าที่ธนาคารเดินเข้าหามากที่สุด ส่วนใหญ่ลูกค้าจะเป็นทั้งชาวสวนยาง และมีโรงงานเป็นของตัวเองด้วย อยู่ในกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี ธนาคารต้องมีการประเมินว่าหากราคายางลดลงถึงระดับเท่าใดถึงเป็นกรณีเลวร้ายที่สุด แต่หากราคาลดลงแค่ชั่วคราว ลูกค้าก็ยังประคองตัวเองได้ หนทางของธนาคารคือ ตั้งโจทย์ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ลูกค้าเป็นเอ็นพีแอล
“หน้าที่เราเหมือนสถานที่ร้องทุกข์ ไปหาเขาก็เหมือนเอาปรอทไปวัดไข้ แต่ไม่ใช่ทุกรายที่เราเข้าไปแล้วมีปัญหา เข้าไปเจอลูกค้าสุขภาพดี ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็มี” ศรัณย์ทร กล่าว
ผู้เชี่ยวชาญตรวจดูอาการธุรกิจ ออกตัวเลยว่า ธนาคารไม่ชอบอะไรที่เซอร์ไพรส์ สิ่งใดที่รู้ เห็น และคาดการณ์ล่วงหน้า หากเข้าประชิดลูกค้าได้ก่อนจะทำให้เกิดความสบายใจสำหรับผู้ให้เงินทุน ฉะนั้นหน้าที่ของหน่วยงานนี้คือ ทำอย่างไรไม่ให้ธนาคารเจอเรื่องราวเซอร์ไพรส์จากลูกค้า
“เอ็นพีแอลเป็นเรื่องที่รู้ล่วงหน้าและคาดการณ์ได้ เราทำธุรกิจนี้ เรารู้บุคลิกลูกค้าว่าอย่างไรเริ่มมีสัญญาณไม่ดี มันคือประสบการณ์ ทุกอย่างมีตัวบอกเหตุ แต่ถ้ากลุ่มไหนที่ต้องเป็นเอ็นพีแอล ยังไงก็ต้องเป็น อยากใช้คำว่า ถ้าใครช่วยได้เราช่วย แต่ถ้าใครช่วยไม่ได้ เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายก็ต้องทำใจ”
ศรัณย์ทร ยอมรับว่า กลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีมีทุนน้อยกว่าลูกค้าขนาดใหญ่ ฉะนั้นหากเศรษฐกิจเผชิญปัญหา กลุ่มเอสเอ็มอีจะโดนก่อน ในขณะที่ลูกค้าขนาดใหญ่จะล้มยากกว่า ส่วนลูกค้ารายย่อย ในบางเรื่องที่ช่วยลูกค้าได้ก็ต้องช่วย ถือเป็นภารกิจอย่างหนึ่งของธนาคาร ที่มีสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถือหุ้นใหญ่ ต้องมีส่วนที่ช่วยคน
สำหรับเอ็นพีแอลของธนาคารปีนี้ ตั้งใจควบคุมสัดส่วนไม่ให้เกิน 2.5% ของสินเชื่อรวม จากปัจจุบันเอ็นพีแอลอยู่ที่ 2.11% ของสินเชื่อรวม หรือคิดเป็นมูลหนี้ 3.3 หมื่นล้านบาท หากเอ็นพีแอลขึ้นก็จะเกิดจากสถานการณ์ในอียูเป็นหลัก แต่อย่างน้อย 2 ปีที่ผ่านมา หลังการตั้งกลุ่มธุรกิจพิเศษก็ลดเอ็นพีแอลได้ต่อเนื่อง ขณะนั้นอยู่ที่ประมาณ 3.2% หรือประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ส่วนเอ็นพีแอลปีหน้า ตามแผนที่ได้หารือกับกรรมการผู้จัดการใหญ่คือ ทำให้เอ็นพีแอลลดลง หรือหากเพิ่มก็ต้องเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่ระหว่างทางหากสิ้นปีนี้เผชิญกับเหตุน้ำท่วมอีกครั้ง เอ็นพีแอลอาจปรับตัวขึ้นบ้าง และเป็นภาวะลำบาก เพียงแต่ยังไม่มีใครรู้ว่าน้ำจะมากหรือน้อย และจะอยู่ในระดับใด
นี่จึงเป็นข้อดีของขุนศึกไทยพาณิชย์ระดับพระกาฬที่อยู่กับธนาคารมานาน ไม่เคี่ยว ไม่เชี่ยว ไม่มีชั่วโมงบิน จะให้มาสางหนี้ สำเร็จอีกทีก็คงยาก


