posttoday

AFET เปิดซื้อขายสับปะรดครั้งแรกของโลก

13 กันยายน 2555

แม้ว่าไทยจะเป็นประเทศผู้ส่งออกสับปะรดรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ปีละเกือบ 3 หมื่นล้านบาท

แม้ว่าไทยจะเป็นประเทศผู้ส่งออกสับปะรดรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ปีละเกือบ 3 หมื่นล้านบาท

คิดเป็นครึ่งหนึ่งของมูลค่าการส่งออกทั่วโลก แต่ราคาสับปะรดของไทยก็ยังมีความผันผวนสูง บางครั้งก็ถูกกดดันจนราคาตกต่ำ สร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรด เนื่องจากไม่มีอำนาจในการต่อรองราคามากพอ

ดังนั้น การนำสับปะรดเข้าตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) จึงน่าจะเป็นการแก้ปัญหาความเสี่ยงด้านราคาส่งออกผลิตภัณฑ์สับปะรดที่มีความผันผวนได้ ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางซื้อขายล่วงหน้าสินค้าสับปะรดของโลก

พีรพล ประเสริฐศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) ชี้แจงว่า การนำสับปะรดเข้ามาซื้อขายในตลาดล่วงหน้าจะช่วยให้การเจรจาซื้อขายสับปะรดมีความโปร่งใสมากขึ้น จากเดิมที่การต่อรองอยู่หลังฉาก ทำให้เกษตรกรถูกกดดันราคา การเข้าสู่ตลาดซื้อขายล่วงหน้าจะทำให้ราคาสะท้อนกลไกตลาดมากขึ้นเหมือนกับราคาน้ำมัน โดยจะช่วยเป็นตัวกำหนดราคามาตรฐานอ้างอิงให้เกษตรกรสามารถคำนวณนำไปวางแผนการผลิตที่เหมาะสมต่อไปได้

AFET เปิดซื้อขายสับปะรดครั้งแรกของโลก

 

ข้อกำหนดการซื้อขายล่วงหน้า เบื้องต้นจะใช้ตัวสับปะรดกระป๋องชนิดชิ้นคละขนาด 20 ออนซ์ ในน้ำเชื่อมเป็นตัวอ้างอิง เพราะมีความผันผวนมากที่สุด โดยกำหนดหน่วยการซื้อขายไว้ครั้งละ 1 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 1,300 กล่องบรรจุ/หนึ่งหน่วยการซื้อขาย อัตราการเคลื่อนไหวของตลาดกำหนดไว้ที่ 0.50 บาท/กล่องบรรจุ มีการซื้อขายล่วงหน้าเกิน 7 เดือน เปิดทำการซื้อขายตั้งแต่เวลา 01.00-15.45 น.ของทุกวัน โดยจะเริ่มทำการซื้อขายในวันที่ 28 ก.ย.นี้

ทั้งนี้ สับปะรดถือเป็นสินค้าเกษตรที่มีการนำเข้าสู่ตลาดล่วงหน้าตัวที่ 6 ของไทย ต่อจากยางแผ่นรมควันชั้น 3 ยางแท่งเอสทีอาร์ 20 ข้าวขาว 5% FOB ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 และมันสำปะหลังเส้น แต่ถือว่าการซื้อขายล่วงหน้าสับปะรดครั้งนี้เป็นครั้งแรกของโลก

รูปแบบการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าจะเป็นการเจรจาตกลงกันนอกตลาดด้วยปริมาณการซื้อรายการใหญ่ จากนั้นผู้ซื้อผู้ขายจะส่งคำสั่งซื้อดังกล่าวเข้ามายัง AFET ซึ่งการซื้อขายแบบนี้จะช่วยให้ผู้ซื้อผู้ขายรายใหญ่สามารถเข้ามาดำเนินการตกลงซื้อขายในคราวละมากๆ โดยไม่กระทบต่อราคาซื้อขายใน AFET โดยที่ผู้ซื้อผู้ขายรายใหญ่จะถูกกลั่นกรองด้วยจำนวนเงินที่ต้องวางไว้ก่อนการซื้อขายล่วงหน้า ก่อนที่จะทำการซื้อขาย ซึ่งจะสอดคล้องกับราคาตลาดซื้อขายล่วงหน้าในภูมิภาค

ด้าน วรเทพ รางชัยกุล อุปนายกและประธานกลุ่มผู้ผลิตสับปะรด สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป กล่าวว่า สมาคมฯ จะนำราคาซื้อขายสับปะรดของสมาชิกในกลุ่มทั้งหมดมาเฉลี่ยกันแล้วส่งให้ AFET ทุกเช้า เพื่อใช้เป็นราคาอ้างอิง แต่อนาคตควรจะขยายจากการใช้แค่สับปะรดชิ้นคละมาเป็นน้ำสับปะรดด้วย เพื่อให้เกิดความหลากหลาย เพราะตลาดน้ำสับปะรดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากตลาดน้ำส้มและแอปเปิล ซึ่งมีการเปิดขายกันไปแล้ว

ขณะที่ สุเมธ เหล่าโมราพร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด ก็เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ พร้อมแนะนำเพิ่มเติมว่า จะต้องมีกลไกและวิธีที่จะกระตุ้นให้ผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างประเทศ เช่น จีน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม มาใช้ตลาดไทยเป็นตัวอ้างอิงราคากลางซื้อขายให้ได้ นั่นหมายความว่าจะต้องมีปริมาณซื้อขายในตลาดที่มากขึ้น ด้วยการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ (ยิว) สับปะรดให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถยืนได้อย่างยั่งยืน เพราะไม่เช่นนั้นอาจโดนพืชตัวอื่นแย่งพื้นที่เพาะปลูกไป

ที่สำคัญจะต้องดึงนักเก็งกำไรและนักลงทุนเข้ามาร่วมเล่นในตลาดนี้ด้วย รวมทั้งอนาคตอาจต้องขยายชนิดผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายในลักษณะเป็นคอมเพล็กซ์ เพื่อให้สามารถรู้แนวโน้มราคาซื้อขายล่วงหน้า 6-7 เดือน

AFET เปิดซื้อขายสับปะรดครั้งแรกของโลก

 

“ถ้าจะให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (ฮับ) การค้าสับปะรดของโลกนั้น เราต้องสร้างอำนาจการต่อรองให้เข้มแข็งขึ้น โดยการร่วมมือกับประเทศผู้ผลิตสินค้าสับปะรดรายใหญ่ของโลก เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และคอสตาริกา ในลักษณะภาคี รวมทั้งต้องเปิดเผยข้อมูลจากตลาด AFET ให้มากขึ้น เพื่อจูงใจดึงให้นักลงทุนและนักเก็งกำไรเข้ามา”

ขณะเดียวกัน นักวิชาการอิสระและนักลงทุนในตลาดหุ้นอย่าง สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ก็แสดงความเห็นว่า การตั้งเป้าว่าจะเป็นฮับของโลกนั้น ต้องถามก่อนว่าเรามีประสิทธิภาพพอหรือไม่ แต่ตอบได้เลยว่า ภาคเอกชนมีแต่ภาครัฐกลับทำให้ประสิทธิภาพลดลงด้วยการเข้าไปแทรกแซงราคาสินค้าเกษตร ทำให้ AFET ที่ตั้งมา 10-20 ปี ไม่เกิดประโยชน์อย่างจริงจัง และยิ่งเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ก็จะยิ่งทำให้ลำบากมากขึ้น เพราะไทยเริ่มช้ากว่าที่ควรเป็นมากถึง 20 ปี ทั้งหมดนี้จะทำให้ไทยเสียขีดความสามารถการแข่งขันไปเหมือนข้าว เรื่องนี้เองที่จะทำให้นักลงทุนและนักเก็งกำไรไม่กล้าเข้ามาเล่นในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า

“บอกว่าจะเป็นฮับในทุกเรื่อง แต่ขณะนี้ก็ยังไม่เห็นเกิดเลยสักเรื่อง ถ้าจะให้การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าเกิดและไปได้อย่างลื่นไหลนั้น จะต้องดึงดีมานด์เข้ามาเพิ่ม ต้องหยุดการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตร เพื่อให้ดีมานด์และซัพพลายลื่นไหล รัฐบาลต้องเข้าใจเรื่องนี้ ไม่ใช่แกล้งโง่ เพื่อเอาชื่อเสียงและฐานเสียงไว้” สมชาย กล่าว

 

ข่าวล่าสุด

“สีหศักดิ์” เตรียมประชุมอาเซียนนัดพิเศษที่มาเลเซีย ถกปมกัมพูชา 22 ธ.ค.นี้