posttoday

"สมพล ธนาดำรงศักดิ์" กัดฟันปั้น FPI จนมีวันนี้

12 กันยายน 2555

ในวันที่ 20 ก.ย.นี้ หุ้นบริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทอะไหล่ทดแทนและชิ้นส่วนพลาสติกครบวงจร ซึ่งมีลูกค้ากว่า 110 ประเทศทั่วโลก จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก หลังจากเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้จองซื้อหุ้นไปแล้วระหว่างวันที่ 1012 ก.ย.ที่ผ่านมา ในราคาหุ้นละ 3.50 บาท

ในวันที่ 20 ก.ย.นี้ หุ้นบริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทอะไหล่ทดแทนและชิ้นส่วนพลาสติกครบวงจร ซึ่งมีลูกค้ากว่า 110 ประเทศทั่วโลก จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก หลังจากเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้จองซื้อหุ้นไปแล้วระหว่างวันที่ 1012 ก.ย.ที่ผ่านมา ในราคาหุ้นละ 3.50 บาท

การเข้าซื้อขายหุ้นของ FPI ถือว่าถูกที่ถูกเวลาเป็นอย่างยิ่ง เพราะบรรยากาศโดยรวมเอื้ออำนวยทุกอย่าง โดยดัชนีหุ้นไทยเพิ่งทำสถิติสูงสุดในรอบ 16 ปี ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์ก็เป็นอุตสาหกรรมที่ร้อนแรงสุดในเวลานี้ จากยอดขายรถยนต์ที่ถล่มทลายทะลุ 1 ล้านคัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ พูดได้ว่าไม่มีโอกาสไหนเหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้ว

แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ FPI ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 หรือวิกฤตซับไพรม์ในปี 2551 แต่ต้องยกเครดิตให้กับ “สมพล ธนาดำรงศักดิ์” ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ FPI ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปลุกปั้นและฝ่าฟันจนทำให้บริษัทผ่านวิกฤตการณ์ต่างๆ มาได้ และสามารถเติบโตอย่างมั่นคงจนติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกในด้านอะไหล่ทดแทนสำหรับรถกระบะ 1 ตัน

“สมพล” เกิดในครอบครัวใหญ่ของตระกูล “ธนาดำรงศักดิ์” มีพี่น้องด้วยกัน 9 คน โดย “สมพล” เป็นน้องชายคนสุดท้อง ที่ต้องแบกความคาดหวังและความสำเร็จของพี่ๆ ทุกคน ที่ล้วนมีกิจการใหญ่โตเป็นของตัวเอง เช่น “แสงชัย ธนาดำรงศักดิ์” พี่ชายคนที่ 3 ดูแลกิจการบริษัท แสงทอง ออโต้พาร์ทเวิลด์ (STP) ผู้จำหน่ายชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศ รวมทั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ OEM ของค่ายรถยนต์หลายค่าย

“สมกิจ ธนาดำรงศักดิ์” พี่ชายคนที่ 7 ดูแลบริษัท เอส.ซี.จี. อินดัสตรี้ (SCG) ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องยนต์ประเภทไดสตาร์ตและไดนาโม “มาลีรัตน์ ธนาดำรงศักดิ์” น้องสาวคนสุดท้องดูแลบริษัท อิมพีเรียล เคเบิ้ล อินดัสตรี้ ผู้ผลิตและจำหน่ายสายเคเบิลรถยนต์ เช่น สายคันเร่ง เบรก และคลัตช์

ขณะที่ “แสงทวี” พี่ชายคนโต “แสงเจริญ” พี่ชายคนที่ 4 “มาลี จงสุวณิชย์” พี่สาวคนที่ 5 “ยรรยงค์ชัย” พี่ชายคนที่ 6 ดูแลธุรกิจปั๊มน้ำมัน ปั๊มแก๊ส ธุรกิจติดตั้งแก๊ส LPG และ NGV ในรถยนต์ รวมทั้งอุตสาหกรรมเดินท่อและขนส่งแก๊ส ส่วน “แสงอรุณ” พี่ชายคนที่ 2 ดูแลธุรกิจนำเข้ารถยนต์จากประเทศจีน

สำหรับ “สมพล” จบการศึกษาปริญญาตรี ด้านการเงินการธนาคาร จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะไปต่อ M.B.A. ที่มหาวิทยาลัยฮุสตัน สหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นกลับมาปลุกปั้น FPI ในปี 2534 ด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 2 ล้านบาท มีพนักงาน 20 คน เริ่มต้นจากการนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์มาจำหน่าย ก่อนที่จะผันตัวเองไปสู่การเป็นผู้ผลิต

“สมพล” เล่าว่า ในช่วง 45 ปีแรกของการทำธุรกิจถือเป็นช่วงวิกฤตที่สุด เนื่องจากไม่มีความรู้เรื่องตลาด ไม่มีองค์ความรู้ในด้านการผลิตที่ดีพอ ทำให้ผลประกอบการขาดทุนหนักเกินทุนจดทะเบียนจนเกือบยอมแพ้ แต่ด้วยใจรักในเรื่องอะไหล่รถยนต์และผูกพันมาตั้งแต่เด็ก จึงลุกขึ้นสู้อีกครั้ง ด้วยการเดินไปขอเงินจากพ่อกับแม่อีก 20 ล้านบาท เอามาลงทุนใหม่

“ความล้มเหลวครั้งแรกทำให้รู้ว่าหัวใจของธุรกิจนี้อยู่ที่แม่พิมพ์และตลาด พอได้โอกาสลงทุนใหม่ก็เริ่มเรียนรู้กระบวนการผลิตของพาร์ตเนอร์จากไต้หวัน หาความรู้เรื่องแม่พิมพ์ มีการเปิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมทั้งหาตลาดต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนของบริษัท เพราะช่วยเพิ่มยอดขายแบบก้าวกระโดดจาก 2 ล้านบาท เป็น 10 ล้านบาท และ 20 ล้านบาท ยิ่งหาลูกค้าต่างประเทศได้มากยอดขายก็จะเติบโตเร็ว”

“สมพล” บอกว่า แม่พิมพ์ตัวแรกที่ผลิตได้เองคือ “โตโยต้า ไมตี้ เอ็กซ์” ถือเป็นแม่พิมพ์ที่ช่วยชุบชีวิตให้กับบริษัท เพราะช่วยเพิ่มยอดขายและจุดประกายให้ทำแม่พิมพ์ตัวอื่นๆ ออกมา รวมทั้งสร้างความมั่นใจว่าธุรกิจนี้สามารถไปต่อได้ จน “สมพล” ต้องตั้งชื่อลูกชายคนแรกว่า “ไมตี้” เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการเกิดใหม่อีกครั้ง

ในขณะที่ธุรกิจกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างกำลังจะไปด้วยดี FPI ก็ต้องพบกับฝันร้ายเช่นเดียวกับคนทั้งประเทศจากวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจาก 25 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ลงไปที่ 50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ หนี้สินเพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่สินค้าขายได้น้อยลง ทำให้บริษัทกลับมาประสบผลขาดทุนอีกครั้ง

“หลังเกิดวิกฤตปี 2540 เราใช้เวลา 1 ปี ในการปรับตัว ด้วยการหาตลาดและลูกค้าใหม่ๆ ปรับปรุงรูปแบบของสินค้าให้น่าสนใจขึ้น เน้นผลิตภัณฑ์ที่ให้มาร์จินสูง ส่วนภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นก็พยายามขอยืดหนี้กับแบงก์ออกไป จนในที่สุดก็ฟื้นตัวกลับมาได้”

“สมพล” ยอมรับว่า นี่ไม่ใช่ความพยายามครั้งแรกที่จะนำ FPI เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะบริษัทเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดทุนมาตั้งแต่ปี 2548 แล้ว ด้วยการปรับโครงการทางธุรกิจ การเงิน และเร่งลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ใช้เงินลงทุนเกือบ 500 ล้านบาท แต่ทุกอย่างก็ต้องสะดุดลงจากวิกฤตซับไพรม์ในสหรัฐ เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 40 กว่าบาทต่อเหรียญสหรัฐ เหลือ 30 กว่าบาทต่อเหรียญสหรัฐ ทำให้ผลประกอบการออกมาไม่ดี เพราะ FPI ส่งออกสินค้าไปต่างประเทศสูงถึง 80% ของรายได้รวม

“ในช่วงที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ไม่ใช่ว่าตลาดไม่ดี เรายังคงขายสินค้าได้ แต่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็ว ไม่มีผู้ประกอบการส่งออกรายไหนรับได้ จาก 45 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เหลือ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ หายไป 30% มาร์จินของเรายังไม่สูงขนาดนั้นเลย ก็ต้องเจ็บตัว กำไรที่ได้ก็ต้องเอาไปจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้หมด ถือเป็นช่วงที่ลำบากที่สุดเหมือนกัน แต่ FPI ก็ใช้เวลาไม่นานในการปรับตัว ก่อนที่จะกลับมาปัดฝุ่นแผนเข้าจดทะเบียนอีกครั้ง”

“สมพล” กล่าวว่า มาถึงวันนี้รู้สึกภูมิใจมาก เพราะบริษัทสามารถยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง ทุกคนที่อยู่ในวงการรู้จัก FPI เป็นอย่างดี ต่างจากเมื่อก่อนที่ต้องออกไปนั่งรอลูกค้านาน 45 ชั่วโมง ไปอธิบายให้ฟังว่าบริษัทคือใคร และทำอะไร เพราะไม่มีใครรู้จัก FPI เลย แต่วันนี้สินค้าของบริษัทจำหน่ายอยู่ทั่วโลก มีพนักงานร่วม 570 คน ยอดขายต่อปีเกือบ 1,500 ล้านบาท ทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 295 ล้านบาท

“จุดแข็งของ FPI อยู่ที่การให้บริการแบบครบวงจร โดยในด้านอะไหล่ทดแทน เรามีสินค้าแม่พิมพ์ตั้งแต่ปี 1972 จนถึง 2012 มีแม่พิมพ์รวมทั้งหมด 1,400 โมเดล ของทุกรุ่น ทุกค่ายรถยนต์ ไม่ว่ารถจะเก่าขนาดไหนเรามีอะไหล่ทดแทนให้หมด ส่วนชิ้นส่วนตกแต่งและสินค้าประเภทซื้อมาขายไปก็มีความหลากหลายตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกกลุ่ม”

“สมพล” ปิดท้ายว่า สาเหตุที่เลือกจดทะเบียนในตลาดเอ็ม เอ ไอ ทั้งที่มีคุณสมบัติสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ได้ “เพราะเราอยากเป็นตัวใหญ่ในตลาดเล็ก ดีกว่าเป็นตัวเล็กในตลาดใหญ่”

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ