แผงเช่าพระพร้อมจ่ายภาษีวอนอย่าใช้วิธีรีดย้อนหลัง
เซียนพระยืดอกจ่ายภาษี จี้สรรพากรกำหนดโครงสร้างจัดเก็บภาษีให้ชัด หากเก็บย้อนป่วนวงการพระเครื่องแน่
เซียนพระยืดอกจ่ายภาษี จี้สรรพากรกำหนดโครงสร้างจัดเก็บภาษีให้ชัด หากเก็บย้อนป่วนวงการพระเครื่องแน่
นายพิศาล เตชะวิภาค หรือต้อย เมืองนนท์ อุปนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่อง พระบูชาไทย เปิดเผยว่า ทางสมาคมฯ ได้จัดประชุมหารือเกี่ยวกับมาตรการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร โดยคนในวงการพระเครื่องส่วนใหญ่มีความพร้อมและยินดีที่จะจ่ายภาษีตามหน้าที่ของพลเมืองดีเพื่อนำเงินไปพัฒนาประเทศ แต่มีความกังวลเรื่องมาตรฐานการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรที่ไม่มีหลักเกณฑ์ชัดเจน
นายพิศาล กล่าวว่า อยากให้อธิบดีกรมสรรพากรคิดหาวิธีประเมินภาษีที่เป็นธรรมต่อผู้ประกอบธุรกิจเช่าพระเครื่อง และต้องเป็นบรรทัดฐานเดียวกันทั่วประเทศ เช่น กำหนดเพดานขั้นต่ำในการจัดเก็บภาษี และการใช้วิธีเหมาจ่ายภาษีรายปี เป็นต้น
“สมาคมฯ มีข้อเสนอว่า ควรจัดเก็บภาษีตามขนาดของธุรกิจ เช่น แผงพระเครื่องเกรดเอ จ่ายภาษี 1 หมื่นบาทต่อ 6 เดือน แผงพระเครื่องเกรดบี จ่ายภาษี 6,000 บาทต่อ 6 เดือน แผงพระเครื่องเกรดซี จ่ายภาษี 3,000 บาทต่อ 6 เดือน และแผงพระเครื่องเกรดดี จ่ายภาษี 400 บาทต่อ 6 เดือน ซึ่งปัจจุบันสรรพากรเขตพื้นที่ จ.นนทบุรี ก็ใช้หลักเกณฑ์นี้อยู่” อุปนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องฯ กล่าว
นายพิศาล ยังกล่าวว่า ที่ผ่านมาการจัดเก็บภาษีทำได้ยากลำบาก เพราะธุรกิจเช่าพระเครื่องไม่มีใบเสร็จ จึงไม่สามารถประเมินรายได้ที่ชัดเจนได้ นอกจากนี้บางกรณีผู้ให้เช่าพระเครื่องยังประสบปัญหาขาดทุนจากพระเครื่องปลอมและยังมีต้นทุนสูงอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม นายพิศาล กล่าวว่า คนในวงการพระเครื่องไม่เห็นด้วยกับการเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง เพราะจะเกิดปัญหาในการตรวจสอบที่ยุ่งยากและไม่สามารถหาหลักฐานได้ แต่หากเริ่มจัดเก็บภาษีตั้งแต่ปี 2555 หรือ 2556 เป็นต้นไป จะช่วยให้รัฐบาลได้เงินเป็นกอบเป็นกำชัดเจน
นายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ หรืออุ๊ กรุงสยาม ผู้เชี่ยวชาญพระเครื่อง เปิดเผยว่า กรมสรรพากรต้องกำหนดมาตรฐานการเรียกเก็บภาษีให้ชัดเจน และหาแนวทางที่เหมาะสม เพื่อให้วงการเช่าพระเครื่องอยู่รอดได้ โดยอาจมีการจัดเวทีระดมความเห็น เพื่อหาทางออกที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม นายวัชรพงศ์ กล่าวว่า ผลกระทบที่ตามมาหากมีการเรียกเก็บภาษีคือ ผู้ให้เช่าพระเครื่องอาจหลีกเลี่ยงด้วยการใช้เงินสดในการเช่าพระ ไม่ต้องโอนผ่านบัญชีธนาคาร หรืออาจมีการจ่ายเช็คผ่านนอมินี เป็นต้น
"เรื่องนี้จะเป็นมหากาพย์ในวงการพระเครื่อง และจะเกิดปัญหาตามมาอีกมากหากมีการเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง” นายวัชรพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ นายวัชรพงศ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมากรมสรรพากรพยายามหาวิธีเรียกเก็บภาษีจากวงการพระเครื่องมานานแล้ว แต่ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจน โดยเซียนพระชื่อดังหลายรายถูกสรรพากรเรียกตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่าย ทำให้เกิดความเครียดและวิตกกังวล ซึ่งส่วนใหญ่มีรายได้เกินปีละ 1.8 ล้านบาท และเข้าข่ายต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%


