posttoday

วิกฤตหนี้ยุโรป VS นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ

28 พฤษภาคม 2555

ตลาดหุ้นยังคงเผชิญความผันผวนสูงต่อไป ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นในช่วงนี้ยังคงวนเวียนอยู่กับวิกฤตหนี้ยุโรปที่เพิ่มความเสียงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

ตลาดหุ้นยังคงเผชิญความผันผวนสูงต่อไป ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นในช่วงนี้ยังคงวนเวียนอยู่กับวิกฤตหนี้ยุโรปที่เพิ่มความเสียงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

วิกฤตหนี้กรีซกำลังลุกลามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ล่าสุดแบงเกีย ธนาคารรายใหญ่อันดับ 4 ของสเปนต้องร้องขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เนื่องจากปัญหาหนี้เสียที่เกิดจากการปล่อยกู้ให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ความเชื่อมั่นในสถาบันการเงินยุโรปกำลังถูกสั่นคลอนอย่างหนัก ชาวกรีซและสเปนยังคงทยอยถอนเงินออกจากธนาคารพาณิชย์ ปัญหาสภาพคล่องตึงตัว อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมถีบตัวสูงขึ้น ยิ่งยืดเยื้อ จะยิ่งกัดกร่อนภาคธุรกิจจริงให้อ่อนแอลง และวนเวียนกลับมาซ้ำเติมปัญหาหนี้เสียของธนาคาร

การที่ธนาคารต้องพึ่งความช่วยเหลือทางการเงินจากทางการมากขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในรูปเงินกู้หรือเงินเพิ่มทุน ต่างเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาหนี้สาธารณะ เนื่องจากหากธนาคารล้มในท้ายที่สุด ความเสียหายก็จะไปตกอยู่ที่ภาครัฐและผู้เสียภาษีนั่นเอง

ผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตหนี้กรีซต่อเศรษฐกิจไทยมีจำกัด ไม่ว่าจะวัดจากปริมาณการค้าระหว่างประเทศ การลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ และธุรกรรมทางการเงินการกู้ยืมเงิน การลงทุนในหุ้นฯ เนื่องจากกรีซมีขนาดเศรษฐกิจเล็กเมื่อเทียบกับอียู ยิ่งกว่านั้นประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีเวลาเตรียมการตั้งรับมาร่วม 2 ปีแล้ว

ท่ามกลางวิกฤตหนี้ยุโรป เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวได้ดี ผลประกอบการไตรมาสแรกในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะธุรกิจที่เน้นกำลังซื้อในประเทศ

น่าสังเกตว่าบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นยังคงรุกแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดจากบริษัทนอกตลาดอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดเจนในธุรกิจโมเดิร์นเทรด โรงพยาบาล และอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ยังมีกระแสเงินสดอยู่ในเกณฑ์สูง หนี้สินต่อทุนอยู่เกณฑ์ต่ำ เรียกได้ว่า ส่วนใหญ่ฐานะการเงินแข็งแกร่งทนแรงเสียดทานวิกฤตหนี้ยุโรปได้

อย่างไรก็ดี ผลกระทบทางอ้อมอาจรุนแรง หากวิกฤตความไม่เชื่อมั่นลุกลามเข้าสู่กลุ่มประเทศ PIIGS ความเสี่ยงของระบบการเงินจะสูงขึ้น การปรับพอร์ตอย่างรวดเร็วจะก่อให้เกิดความผันผวน–ลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง (โดยเฉพาะหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์)/เพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง (เหรียญสหรัฐและพันธบัตร)

ราคาหุ้นเสี่ยงจะทรุดแรงอีก หากวิกฤตหนี้ยุโรปลุกลามจนก่อให้เกิดแรงขายอย่างตื่นตระหนก การทำชอร์ตเซลและแรงขายจากการไถ่ถอนหน่วยลงทุนทั่วโลก ราคาหุ้นที่ทรุดแรงจะเพิ่มความเสียงให้เกิดการบังคับขายสำหรับผู้ที่ใช้เงินกู้ซื้อหุ้นอีกด้วย หุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น พลังงานและปิโตรเคมี ตลอดจนหุ้นบลูชิปที่ต่างชาติถืออยู่เยอะ เช่น หุ้นธนาคาร จะเผชิญกับความเสี่ยงนี้มากกว่าหุ้น Defensive และหุ้นที่พึ่งพากำลังซื้อในประเทศเป็นหลัก

อย่างไรก็ดี สัญญาณเศรษฐกิจชะลอแรงในหลายประเทศได้เพิ่มความเป็นไปได้ที่ยุโรป จีนและอีกหลายๆ ประเทศจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้นำระดับสูงของจีนออกโรงประกาศเตรียมผลักดันมาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเน้นลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน

ในด้านบวกราคาน้ำมันดิบที่ร่วงแรงเกือบ 20% จากจุดสูงสุดเมื่อต้นเดือน มี.ค. พร้อมๆ กับราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ได้ช่วยผ่อนคลายแรงกดดันเงินเฟ้อและความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะทรุดแรงไปได้พอสมควร นอกจากนั้นยังเปิดพื้นที่เพิ่มเติมสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงิน โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชีย

สรุปได้ว่า ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นในช่วงนี้จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์วิกฤตหนี้ยุโรป และความเป็นไปได้ที่จะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัชนีหุ้นจะแกว่งผันผวนในกรอบ 1,100-1,160 จุด กรณีหลุด 1,100 จุด จะมีแนวรับถัดไปที่ 1,070 และ 1,050 จุด ตามลำดับ

การปรับฐานของตลาดหุ้นรอบนี้ เป็นโอกาสทยอยเลือกเก็บหุ้นที่พึ่งกำลังซื้อในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นมือถือ (ชอบ DTAC INTUCH) ค้าปลีกสมัยใหม่ (BIGC MAKRO) โรงพยาบาล (BGH BH) รวมถึงกลุ่มอาหาร (CPF TUF)

ข่าวล่าสุด

ALATi “สยาม เคมปินสกี้” เมดิเตอร์เรเนียนโมเมนต์ สำหรับวันธรรมดาที่สุดพิเศษ