วิกฤตหนี้ยุโรป VS นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นยังคงเผชิญความผันผวนสูงต่อไป ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นในช่วงนี้ยังคงวนเวียนอยู่กับวิกฤตหนี้ยุโรปที่เพิ่มความเสียงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ตลาดหุ้นยังคงเผชิญความผันผวนสูงต่อไป ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นในช่วงนี้ยังคงวนเวียนอยู่กับวิกฤตหนี้ยุโรปที่เพิ่มความเสียงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
วิกฤตหนี้กรีซกำลังลุกลามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ล่าสุดแบงเกีย ธนาคารรายใหญ่อันดับ 4 ของสเปนต้องร้องขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เนื่องจากปัญหาหนี้เสียที่เกิดจากการปล่อยกู้ให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ความเชื่อมั่นในสถาบันการเงินยุโรปกำลังถูกสั่นคลอนอย่างหนัก ชาวกรีซและสเปนยังคงทยอยถอนเงินออกจากธนาคารพาณิชย์ ปัญหาสภาพคล่องตึงตัว อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมถีบตัวสูงขึ้น ยิ่งยืดเยื้อ จะยิ่งกัดกร่อนภาคธุรกิจจริงให้อ่อนแอลง และวนเวียนกลับมาซ้ำเติมปัญหาหนี้เสียของธนาคาร
การที่ธนาคารต้องพึ่งความช่วยเหลือทางการเงินจากทางการมากขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในรูปเงินกู้หรือเงินเพิ่มทุน ต่างเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาหนี้สาธารณะ เนื่องจากหากธนาคารล้มในท้ายที่สุด ความเสียหายก็จะไปตกอยู่ที่ภาครัฐและผู้เสียภาษีนั่นเอง
ผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตหนี้กรีซต่อเศรษฐกิจไทยมีจำกัด ไม่ว่าจะวัดจากปริมาณการค้าระหว่างประเทศ การลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ และธุรกรรมทางการเงินการกู้ยืมเงิน การลงทุนในหุ้นฯ เนื่องจากกรีซมีขนาดเศรษฐกิจเล็กเมื่อเทียบกับอียู ยิ่งกว่านั้นประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีเวลาเตรียมการตั้งรับมาร่วม 2 ปีแล้ว
ท่ามกลางวิกฤตหนี้ยุโรป เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวได้ดี ผลประกอบการไตรมาสแรกในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะธุรกิจที่เน้นกำลังซื้อในประเทศ
น่าสังเกตว่าบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นยังคงรุกแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดจากบริษัทนอกตลาดอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดเจนในธุรกิจโมเดิร์นเทรด โรงพยาบาล และอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ยังมีกระแสเงินสดอยู่ในเกณฑ์สูง หนี้สินต่อทุนอยู่เกณฑ์ต่ำ เรียกได้ว่า ส่วนใหญ่ฐานะการเงินแข็งแกร่งทนแรงเสียดทานวิกฤตหนี้ยุโรปได้
อย่างไรก็ดี ผลกระทบทางอ้อมอาจรุนแรง หากวิกฤตความไม่เชื่อมั่นลุกลามเข้าสู่กลุ่มประเทศ PIIGS ความเสี่ยงของระบบการเงินจะสูงขึ้น การปรับพอร์ตอย่างรวดเร็วจะก่อให้เกิดความผันผวน–ลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง (โดยเฉพาะหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์)/เพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง (เหรียญสหรัฐและพันธบัตร)
ราคาหุ้นเสี่ยงจะทรุดแรงอีก หากวิกฤตหนี้ยุโรปลุกลามจนก่อให้เกิดแรงขายอย่างตื่นตระหนก การทำชอร์ตเซลและแรงขายจากการไถ่ถอนหน่วยลงทุนทั่วโลก ราคาหุ้นที่ทรุดแรงจะเพิ่มความเสียงให้เกิดการบังคับขายสำหรับผู้ที่ใช้เงินกู้ซื้อหุ้นอีกด้วย หุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น พลังงานและปิโตรเคมี ตลอดจนหุ้นบลูชิปที่ต่างชาติถืออยู่เยอะ เช่น หุ้นธนาคาร จะเผชิญกับความเสี่ยงนี้มากกว่าหุ้น Defensive และหุ้นที่พึ่งพากำลังซื้อในประเทศเป็นหลัก
อย่างไรก็ดี สัญญาณเศรษฐกิจชะลอแรงในหลายประเทศได้เพิ่มความเป็นไปได้ที่ยุโรป จีนและอีกหลายๆ ประเทศจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้นำระดับสูงของจีนออกโรงประกาศเตรียมผลักดันมาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเน้นลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
ในด้านบวกราคาน้ำมันดิบที่ร่วงแรงเกือบ 20% จากจุดสูงสุดเมื่อต้นเดือน มี.ค. พร้อมๆ กับราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ได้ช่วยผ่อนคลายแรงกดดันเงินเฟ้อและความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะทรุดแรงไปได้พอสมควร นอกจากนั้นยังเปิดพื้นที่เพิ่มเติมสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงิน โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชีย
สรุปได้ว่า ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นในช่วงนี้จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์วิกฤตหนี้ยุโรป และความเป็นไปได้ที่จะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัชนีหุ้นจะแกว่งผันผวนในกรอบ 1,100-1,160 จุด กรณีหลุด 1,100 จุด จะมีแนวรับถัดไปที่ 1,070 และ 1,050 จุด ตามลำดับ
การปรับฐานของตลาดหุ้นรอบนี้ เป็นโอกาสทยอยเลือกเก็บหุ้นที่พึ่งกำลังซื้อในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นมือถือ (ชอบ DTAC INTUCH) ค้าปลีกสมัยใหม่ (BIGC MAKRO) โรงพยาบาล (BGH BH) รวมถึงกลุ่มอาหาร (CPF TUF)


