posttoday

ร้านทองอินเดียแห่ซื้อทองถูกจากไทย

24 มีนาคม 2555

รายย่อยภารตแห่กักตุนทองไทยราคาถูกหลังเอฟทีไทย-อินเดียช่วยกดภาษีนำเข้าแค่1%

รายย่อยภารตแห่กักตุนทองไทยราคาถูกหลังเอฟทีไทย-อินเดียช่วยกดภาษีนำเข้าแค่1%

มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าทอง ส่งผลร้านค้ารายย่อยในอินเดียแห่นำเข้าทองจากไทย ชี้เอฟทีเอช่วยกดภาษีได้ถูกลง

เว็บไซต์ไมน์เว็บรายงานเมื่อวันที่ 23 มี.ค.ว่า การขึ้นอากรขาเข้าและภาษีสรรพสามิต สำหรับทองคำของอินเดียจาก 2% เป็น 4% กำลังทำให้ผู้ค้าปลีกในอินเดียสั่งนำเข้าทองคำจากประเทศไทยและจีนที่มีราคาถูกกว่า เข้ามากักตุนในปริมาณมาก เนื่องจากข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ทำให้ทองคำนำเข้าจากไทยเสียภาษีและอากรถูกกว่า

รายงานระบุว่า แม้การขึ้นภาษีนำเข้าจะส่งผลให้การซื้อขายทองซบเซา และตลาดกลางซื้อขายทองคำต้องปิดทำการชั่วคราว เพื่อประท้วงมาตรการดังกล่าว ทว่าบรรดาร้านทองและเครื่องประดับในอินเดียจำนวนมากกลับแห่สั่งซื้อทองโดยตรงจากไทย เนื่องจากไทยและอินเดียมีข้อตกลงเอฟทีเอระหว่างกัน และทำให้อินเดียสามารถนำเข้าทองจากไทยได้ในอัตราภาษีเพียง 1%

บรรดานักค้าในอินเดียต่างระบุว่า ประเทศไทยกำลังมีความได้เปรียบในระยะยาว จากการขึ้นภาษีอากรทองคำของอินเดีย

“ประเทศไทยไม่ได้มีชื่อในเรื่องการเป็นผู้ผลิตเครื่องประดับ การนำเข้าส่วนใหญ่จะมาจากจีนและมาเลเซียผ่านทางไทย ทว่า ประเทศไทยก็กำลังขยับขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกที่น่าจับตา เพราะกำลังอยู่ระหว่างการกระจายความหลากหลายของทุนสำรองระหว่างประเทศ และกระจายความเสี่ยงจากการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐและปัญหาหนี้ยุโรป” นักวิเคราะห์รายหนึ่ง ระบุกับเว็บไซต์

ด้านนักค้าหลายรายระบุว่า ผู้ประกอบการเครื่องประดับในอินเดีย ไม่สามารถแบกรับการขึ้นภาษีนำเข้าทองคำได้อีก โดยการขึ้นภาษีทองคำเป็น 4% และ 4.3% สำหรับทองรูปพรรณนั้นยังต้องบวกภาษี เพื่อการศึกษาตามข้อบังคับในอินเดียเพิ่มอีก 0.12% ด้วย ดังนั้นในเวลานี้การนำเข้าทองจากไทยจึงเป็นทางเลือกที่ถูกกว่ากันมาก

รายงานระบุว่าด้วยว่า ในปี 2554 ที่ผ่านมา ประเทศไทยสามารถบรรลุ ข้อตกลงซื้อขายทองล็อตใหญ่ไปแล้ว 3 ครั้ง

ด้านซีเอ็นเอ็นรายงานว่า นักลงทุนกำลังลดความสนใจในการลงทุนกับทองคำลง เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐมีสัญญาณฟื้นตัวที่ดีขึ้น ทำให้นักลงทุนไม่จำเป็นต้องนำเงินไปพักในทองคำเหมือนช่วงที่ผ่านมาอีก

ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นถึง 7 เท่า จาก 253 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ เมื่อปี 2001 ขึ้นไปถึงเกือบ 2,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ในปีที่แล้ว ทว่า ราคาทองในขณะนี้ได้ปรับลดลงมาแล้ว 9% นับตั้งแต่ปลายเดือน ก.พ. จนลงมาอยู่ต่ำสุดในรอบ 10 สัปดาห์ ที่ 1,627.68 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์

 

ข่าวล่าสุด

ป.ป.ส. ผนึก DEA สหรัฐฯ เตรียมจัดประชุม Regional IDEC 2026 ที่เชียงราย