ธุระกิจแบบไหน ขวัญใจ Venture Capital
หลังจากทำความรู้จักกับ Venture Capital หรือธุรกิจเงินร่วมลงทุน
โดย...สวลี ตันกุลรัตน์
หลังจากทำความรู้จักกับ Venture Capital หรือธุรกิจเงินร่วมลงทุน กันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า พวกเขาคือนายทุนใจดีที่ใส่เงินทุนเข้ามาช่วยให้ธุรกิจในฝันกลายเป็นจริง หรือช่วยธุรกิจเล็กๆ ก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ รวมทั้งช่วยธุรกิจที่กำลังจะจมน้ำให้รอดพ้นจากวิกฤต โดยสิ่งที่พวกเขาต้องการคือ ผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะเวลาประมาณ 35 ปี
แต่สิ่งที่เรายังไม่รู้คือ ต้องทำอย่างไรถึงจะ “เข้าตา” และเป็น “ขวัญใจ” ของธุรกิจเงินร่วมลงทุน จนทำให้พวกเขายอมทุ่มเงินทุนใส่มาในธุรกิจของเรา
ต่างคน แต่ใจเดียว
นอกจากธุรกิจเงินร่วมลงทุน จะต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนเหมือนกันแล้ว ยังมีอีกหลายอย่างที่ธุรกิจเงินร่วมลงทุนมองหาเหมือนๆ กัน
ศักยภาพทางธุรกิจ
“ธุรกิจที่มีศักยภาพ” น่าจะเป็นสิ่งแรกสุดที่พวกเขามองหา เพราะแม้ว่าจะเป็น “นายทุนใจดี” แต่ธุรกิจเงินร่วมลงทุนก็ไม่ใช่ “มหาเศรษฐีใจบุญ” ที่จะเอาเงินไปละลายเล่นกับธุรกิจที่ไม่มีความเป็นไปได้
วิชชุ จันทาทับ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่าย Private Equity บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็มเอฟซี (บลจ.เอ็มเอฟซี) บอกว่า ก่อนที่ธุรกิจเงินร่วมลงทุนจะตัดสินใจลงทุนจะต้องวิเคราะห์ในเชิงลึก เพื่อดูว่ามีความเป็นไปได้มากแค่ไหน โดยจะต้องวิเคราะห์ความเสี่ยงอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการร่วมทุนกับธุรกิจที่จัดตั้งใหม่ ซึ่งเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด
“การลงทุนของธุรกิจเงินร่วมลงทุนมีสภาพคล่องต่ำมาก เพราะการออกจากธุรกิจทำได้ยาก ไม่เหมือนกับการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ที่แม้ว่าจะเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำที่สุด แต่ถ้าต้องการขายหุ้นจะใช้เวลาไม่กี่วันก็สามารถขายหุ้นออกไปได้ แต่ถ้าเป็นบริษัทที่อยู่นอกตลาด ถ้าต้องการจะขายแต่ก็อาจจะขายไม่ได้ เพราะฉะนั้นการลงทุนต้องใช้เวลาในการพิจารณาอย่างรอบคอบ” วิชชุ กล่าว
ในขณะที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการเงินร่วมลงทุน (บลท.) ข้าวกล้า ซึ่งเป็นผู้บริหารจัดการเงินร่วมลงทุนของบริษัทร่วมทุน เคเอสเอ็มอี ประกาศไว้ชัดเจนว่า หนึ่งในคุณสมบัติของบริษัทที่จะเข้าร่วมลงทุนคือ “มีศักยภาพในการเติบโตและทำกำไรสูง”
แผนธุรกิจ
เพราะบริษัทที่จะเข้าไปลงทุนไม่มีข้อมูลมากเหมือนกับการลงทุนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เพราะฉะนั้นธุรกิจเงินร่วมลงทุน จึงใช้ “แผนธุรกิจ” ในการประเมินศักยภาพของธุรกิจ นั่นเพราะแผนธุรกิจจะบอกทุกอย่างที่เกี่ยวกับความเป็นไปได้ทางธุรกิจ
เรวัต ตันตยานนท์ และสุธี พนาวร เขียนไว้ในหนังสือชื่อ “Venture Capital ธุรกิจเงินร่วมลงทุน” ว่า แผนธุรกิจเป็นสิ่งแรกๆ ที่ธุรกิจเงินร่วมลงทุนจะขอดู โดยที่ “แผนธุรกิจที่รัดกุมและน่าสนใจจะเป็นใบเบิกทางสู่การได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุน ในทางกลับกัน แผนธุรกิจที่ไม่มีคุณภาพ ก็อาจจะทำธุรกิจที่น่าจะไปได้โลดกลับต้องถูกทิ้งลงตะกร้าของธุรกิจเงินร่วมลงทุนตั้งแต่ด่านแรกก็เป็นได้”
วิชชุ กล่าวว่า แผนธุรกิจยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น ถ้าเป็นธุรกิจที่ยังเป็นแค่ความฝัน
“สำหรับธุรกิจที่ยังไม่ได้เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่มีอยู่แล้วในตลาด หรือธุรกิจที่นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ จะต้องมีแผนการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน มีการจัดโครงสร้างองค์กรที่ชัดเจน เพื่อวางรากฐานให้ผู้ร่วมทุนมองเห็นภาพว่า ธุรกิจจะเป็นอย่างไร” วิชชุ กล่าว
ปฐมาพร ไชยกุล กรรมการผู้จัดการ บลท.ข้าวกล้า บอกเช่นกันว่า “การประเมินความสามารถต้องพิจารณาจากแผนธุรกิจ ทั้งแผนการตลาด แผนการผลิต แผนการเงิน และแผนการจัดการคน เพราะต้องรู้ว่า ต้องการเงินไปทำอะไร ผู้บริหารมีความสามารถแค่ไหน การผลิตและการตลาดเป็นอย่างไร”
ขณะที่ เรวัต และสุธี ระบุว่า ส่วนที่สำคัญที่สุดในแผนการเงินคือ “บทสรุปสำหรับผู้บริหาร” เพราะเป็นการสรุปเนื้อหาทั้งหมด และเป็นเหมือน “หนังตัวอย่าง” เพราะฉะนั้น “หากหนังตัวอย่างไม่สนุกจะพานทำให้ภาพยนตร์ขายไม่ได้ไปด้วย”
ความโปร่งใส
ธุรกิจเงินร่วมลงทุนต้องการความโปร่งใสในการทำธุรกิจ และสิ่งที่บ่งบอกถึงความโปร่งใสได้ดีที่สุดคือ ระบบบัญชีที่เป็นมาตรฐาน เพราะฉะนั้นธุรกิจไหนที่มี “บัญชี 2 เล่ม” ก็ต้องจัดการให้เรียบร้อย นอกจากนี้ ปฐมาพร ยังบอกว่า การทำบัญชีที่เป็นระบบระเบียบจะสะท้อนความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจได้ชัดเจน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ร่วมทุน
“ผู้ประกอบการที่จะเข้ามาหา ธุรกิจเงินร่วมลงทุนต้องทำใจก่อนว่า เราต้องการระบบบัญชีที่โปร่งใส” ปฐมาพร กล่าว เช่นเดียวกับ วิชชุ ที่บอกว่า “ก่อนหน้านี้อาจจะเคยมีบัญชี 2 เล่ม แต่เมื่อเราเข้าไปร่วมทุนต้องมีบัญชีเล่มเดียว”
นอกจากนี้ ยังหมายถึงการบริหารงานภายใต้หลักธรรมาภิบาล หรือการกำกับกิจการที่ดีอีกด้วย
ต่างคน ต่างใจ
อย่างที่รู้กันแล้วว่า ธุรกิจเงินร่วมลงทุนมีหลายกลุ่ม มีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างกัน ซึ่งบางกลุ่มจะเน้นร่วมลงทุนในธุรกิจที่ตั้งต้นใหม่ แต่บางกลุ่มอาจจะลงทุนในธุรกิจที่ดำเนินธุรกิจมาระยะหนึ่งแล้ว และต้องการเงินทุนเพื่อไปขยายกิจการ ในขณะที่บางกลุ่มอาจจะชอบลงทุนในธุรกิจที่กำลังมีปัญหาทางการเงิน นอกจากนี้บางกลุ่มอาจจะสนับสนุนเฉพาะกลุ่มธุรกิจ ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษ
สำหรับ บลท.ข้าวกล้า ปฐมาพร บอก ว่า ไม่มีนโยบายลงทุนในธุรกิจที่อยู่ในช่วงตั้งต้นธุรกิจ แต่จะลงทุนในธุรกิจที่ดำเนินธุรกิจมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ปี หรือผู้บริหารมีประสบการณ์ในธุรกิจนั้นไม่ต่ำกว่า 5 ปี และต้องการ “โตแบบก้าวกระโดด” โดยการขยายการลงทุนเพิ่ม นอกจากนี้ยังรวมถึงการร่วมทุนกับบริษัทที่มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
“เราเคยร่วมทุนกับบริษัทต้องการเงินลงทุนเพื่อขยายธุรกิจ ก่อนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งธุรกิจที่เราเข้าไปลงทุนก็มีทั้งที่เดินเข้ามาหาเราและเราเองก็มองหาธุรกิจที่น่าสนใจ รวมทั้งได้รับคำแนะนำจากบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน” ปฐมาพร กล่าว
แต่ถ้าเป็น บลจ.เอ็มเอฟซี วิชชุ บอกว่า สามารถลงทุนในธุรกิจที่อยู่ในทุกช่วงชีวิต ตั้งแต่ตั้งต้นธุรกิจที่ทำให้ธุรกิจในฝันกลายเป็นจริง ธุรกิจที่ต้องการขยับขยายกิจการ ไปจนถึงธุรกิจที่มีปัญหาทางการเงิน
“ถ้าเป็นธุรกิจที่กำลังมีปัญหาทางการเงิน เราจะไม่ได้ใส่เงินทุนลงไปเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องไปวิเคราะห์ว่า ธุรกิจมีปัญหาอะไร และจะแก้ไขได้อย่างไร ซึ่งในบางรายอาจจะต้องหาพันธมิตรทางธุรกิจเข้ามาช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ เพราะการใส่เงินเพียงอย่างเดียวเป็นเรื่องที่อันตรายมาก แต่ก็อาจจะมีบางกรณีที่บริษัทมีการกู้เงินมากเกินไป หรือลงทุนมากเกินไปจนทำให้เงินขาดมือ ก็อาจจะใส่เงินอย่างเดียวได้” วิชชุ กล่าว
นอกจากนี้ อาจจะลงทุนในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเป็นการเฉพาะ เช่น พลังงาน แต่ วิชชุ บอกว่า ธุรกิจเงินร่วมลงทุนเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้นจึงต้องมีการกระจายความเสี่ยง โดยกองทุนหนึ่งต้องลงทุนหลายๆ ธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม สำหรับกองทุนที่มี นโยบายลงทุนในอุตสาหกรรมใดเป็นการเฉพาะจะต้องลงทุนในกลุ่มธุรกิจย่อยๆ ของอุตสาหกรรมนั้นด้วย เช่น ลงทุนตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำ หรือลงทุนในธุรกิจเดียว แต่กระจายหลายๆ ช่วงชีวิตธุรกิจ
“เราอาจจะยอมลงทุนในธุรกิจที่ดำเนินธุรกิจมาแล้ว แม้ว่าจะต้องใช้เงินลงทุนสูง เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนในธุรกิจที่อยู่ในช่วงตั้งต้นที่มีความเสี่ยงสูงมาก” วิชชุ กล่าว
ขณะที่ บลท.วีเน็ท แม้ว่าจะเริ่มต้นจากการตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ในเว็บไซต์ของวีเน็ท ระบุว่า นโยบายการลงทุนของบริษัทไว้ว่า เน้นการ ลงทุนในธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) ในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การศึกษา อาหาร ยานยนต์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และซอฟต์แวร์
นอกจากนี้ ยังกำหนดไว้อีกว่า ธุรกิจที่จะร่วมลงทุนจะต้องมีทีมผู้บริหารที่มีความสามารถ มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจ มีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีลักษณะเฉพาะ (ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร) มีตลาดขนาดใหญ่และมีแนวโน้มที่จะเติบโตสูง
เมื่อต่างคนต่างใจ เพราะฉะนั้น ปฐมาพร บอกว่า บางทีการไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธุรกิจเงินร่วมลงทุน ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจแย่เสมอไป แต่อาจจะเป็นเพราะไม่เหมาะกับนโยบายของธุรกิจเงินร่วมลงทุนแห่งนั้น และเมื่อธุรกิจเงินร่วมลงทุนแห่งหนึ่งไม่สนใจ ไม่ได้แปลว่าคนอื่นๆ จะไม่สนใจ
และอย่ากลัวที่จะถูกปฏิเสธการร่วมทุน อย่ากลัวที่จะต้องถูกถามหลายๆ คำถาม เพราะ ปฐมาพร บอกว่า ธุรกิจเงินร่วมลงทุนเป็นกระจกช่วยส่องให้มองเห็นตัวเองได้ชัดขึ้น และกว่าที่จะตัดสินใจร่วมทุนอาจจะต้องใช้เวลานาน
เพราะฉะนั้น ถ้าวันนี้ธุรกิจเราอาจจะยังไม่เข้าตา แต่อย่าได้ท้อถอย เพราะวันหน้าเราอาจจะเป็น “คนที่ใช่” ในใจธุรกิจเงินร่วมลงทุน


