น้ำท่วมกับผลกระทบธุรกิจประกันภัย
วิกฤติ'น้ำท่วม' กับผลกระทบต่อภาคธุรกิจและการประกันภัยไทย
วิกฤติ'น้ำท่วม' กับผลกระทบต่อภาคธุรกิจและการประกันภัยไทย
โดย...วารุณี อินวันนา
'เอออน' วิเคราะห์ น้ำท่วมหนักในรอบ 50 ปี ในไทย สร้างความเสียหายอันเกิดจากภาคผลิต ทำให้มีกระทบเป็นลูกโซ่ต่ออุตสาหกรรมภาคการผลิตอย่างมหาศาลต่อวงจรการผลิตต่างๆ ในประเทศอุตสาหกรรมทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป และ อเมริกา ที่ไม่สามารถประเมินความเสียหายเป็นตัวเงินได้
บริษัทเอออน (ประเทศไทย) บริษัทนายหน้าประกันภัยข้ามชาติมีบทบาทอย่างมากในช่วงที่ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาถูกบริษัทประกันภัยต่อต่างชาติยกธงขาวถอยฉากออกจากประเทศไทย หลายรายไม่รับประกันภัยน้ำท่วม หรือมีการปรับราคาเบี้ยเพิ่มเป็น 2-3 เท่าในช่วงปลายปีหลังเกิดน้ำท่วมหนักช่วงปลายปี 2554 โดยร่วมเดินทางไปกับรัฐบาลเพื่อไปสร้างความเชื่อมั่นและเล่าถึงเหตุการณ์น้ำท่วมที่ตลาดลอยด์ ตลาดประกันภัยต่อที่ใหญ่ที่สุดของโลก
นอกจากนี้ ยังมีบทบาทในการให้คำแนะนำด้านราคาเบี้ยประกันภัยต่อที่คุ้มครองน้ำท่วมแก่รัฐบาล ซึ่งในการทำประกันภัยต่อของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท และ คุ้มครอง 1 ล้านล้านบาทครั้งนี้ 'เอออน'สามารถยึดหัวหาดนายหน้าประกันภัยที่รับหน้าที่เลือกสรรประกันภัยต่อเข้ามารับงานนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา 'เอออน' ไม่เคยแสดงความเห็นเกี่ยวกับน้ำท่วมหนักในไทยมาก่อน ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีการวิเคราห์ถึง'ผลกระทบต่อภาคธุรกิจและการประกันภัยไทย"
ในมุมมองของ แอนดรูว์ ซี.เบ็นท์ลีย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอออน ประเทศไทย บริษัทนายหน้าประกันภัยข้ามชาติ วิเคราะห์ว่า อุทกภัยครั้งรุนแรงในประเทศไทยเมื่อปีที่แล้ว เป็นความเสียหายครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 50 ปีของไทย ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 600 คน และก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคธุรกิจต่าง ๆ คิดเป็นเงินหลายแสนล้านบาท
ความเสียหายส่วนหนึ่งที่ไม่ได้มีการซื้อประกันภัยไว้ จะเป็นความเสียหายในด้านธุรกิจหยุดชะงัก ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบอันรุนแรงต่อรายได้ ผลประกอบการ ผลกำไร และ สูญเสียโอกาสกับลูกค้า
ส่วนใหญ่ จะเป็นการซื้อประกันภัยทรัพย์สิน ที่ประเมินว่าจะมีความเสียหายเป็นวงเงินประมาณ 1.2-1.5 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวงการประกันภัยไทย หรือประมาณ 3.3-3.5 แสนล้านบาท และมีผลกระทบเป็นวงกว้างต่อห่วงโซ่อุปาทาน
ทั้งนี้ ความสูญเสียและความเสียหายต่อตัวทรัพย์สินสามารถที่จะคำนวณความสูญเสียและบริหารจัดการได้ แต่สิ่งที่ไม่สามารถที่จะคำนวณผลกระทบได้ชัดเจน คือ ความเสียหายอันเกิดจากภาคผลิต ทำให้มีกระทบเป็นลูกโซ่ต่ออุตสาหกรรมภาคการผลิตทั่วโลก เช่น ธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอิเล็คโทรนิคส์ และ อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทย ไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนเพื่อป้อนตลาดโลกได้ช่วงที่เกิดวิกฤติน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรม ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อวงจรการผลิตต่างๆ ในประเทศอุตสาหกรรม เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป และ อเมริกา
ในขณะที่ธุรกิจก็มีความพยายามที่จะทำการฟื้นฟูเรื่องการแข่งขัน การสูญเสียโอกาสที่จะส่งสินค้าออกนอกประเทศ โดยทางรัฐบาล ก็ได้มีการเสนอมาตรการต่างๆ คิดเป็นเงินนับแสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเจ้าของธุรกิจและประชาชนให้มีความมั่นใจในเรื่องการบริหารจัดการนี้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่จะต้องไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต
สำหรับ ตลาดธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย ได้ประสบกับความเสียหายรุนแรงที่สุดในปี 2554 และได้มีการคาดการณ์ว่า จะมีบริษัทประกันภัยหลายๆ บริษัทที่จะต้องมีการระดมเพิ่มเงินทุน หรือ ควบรวมกิจการเพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทให้สามารถที่จะดำเนินธุรกิจประกันภัยต่อไปในอนาคต
ขณะที่ บริษัทผู้รับประกันภัยต่อในต่างประเทศหลายบริษัท จะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากอุทกภัยในประเทศไทยครั้งนี้ โดยมีบางบริษัทได้ถอนตัวจากการรับประกันต่อจากตลาดในประเทศไทย ในขณะที่บางบริษัทจำเป็นต้องใช้มาตรการอื่นๆ เช่น การจำกัดความคุ้มครองในกรมธรรม์และการขึ้นเบี้ยประกันสำหรับมหันตภัยธรรมชาติโดยเฉพาะน้ำท่วม แผ่นดินไหว ลมพายุ
เบ็นท์ลีย์ สรุปว่า ผลจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ เชื่อมั่นว่า ภาคธุรกิจต่างๆ ทั่วประเทศควรจะเริ่มประเมินการจัดการ และบริหารจัดการความเสี่ยงต่อทรัพย์สินที่ลงทุนไป
ขณะเดียวกัน ก็ควรที่จะศึกษาแผนสำรองฉุกเฉินในการจัดหาสถานที่ทำการผลิตสินค้าในพื้นที่อื่นๆ ในประเทศ ที่คาดว่าจะไม่ประสบปัญหาเรื่องภัยธรรมชาติในอนาคต เพื่อให้ความมั่นใจว่าจะยังสามารถผลิตสินค้าเพื่อจัดส่งต่อไปยังผู้บริโภคในประเทศและต่างประเทศในยามวิกฤติ
สำหรับ บริษัทเอออน ประเทศไทย เป็นบริษัทในเครือของ เอออน คอร์ปอเรชั่น ผู้ให้บริการบริหารความเสี่ยง บริการประกันภัยและนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ประกันภัยชั้นนำของโลก มีพนักงานกว่า 6.1 หมื่นคนทั่วโลก และมีธุรกิจอยู่ในกว่า 120 ประเทศ


