ชีวิตคนมีค่าเท่าไหร่
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้ทิ้งท้ายไว้ว่า แม้ชีวิตของคนมีค่ามหาศาล ไม่สามารถประเมินได้ แต่หากกรณีจำเป็นต้องประเมิน เราจะประเมินอย่างไร
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้ทิ้งท้ายไว้ว่า แม้ชีวิตของคนมีค่ามหาศาล ไม่สามารถประเมินได้ แต่หากกรณีจำเป็นต้องประเมิน เราจะประเมินอย่างไร
การประเมินมูลค่าชีวิตของคนทางการเงินนั้น เรามักจะใช้กันมากกรณีประเมินทุนประกันที่เหมาะสมสำหรับผู้เอาประกันว่า เขาควรทำประกันชีวิตเท่าไหร่ดี ซึ่งการประเมินมูลค่าชีวิตตามหลักการเงินก็อยู่บนฐานของการประเมินมูลค่าชีวิตทั่วไป ก็คือ เขาสร้างประโยชน์ทางการเงินให้กับบุคคลอื่นเท่าไหร่ (จะเห็นนะครับว่า มูลค่าชีวิตของคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาสร้างประโยชน์ให้กับตนเองเท่าไหร่) ยิ่งเขาสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นมาก มูลค่าชีวิตของเขาก็สูงมาก
การประเมินมูลค่าชีวิตของคนทางการเงินจะสนใจเฉพาะประโยชน์ทางการเงินอย่างเดียว ไม่ได้สนใจประโยชน์ด้านอื่น เช่น ผลกระทบต่อจิตใจ เป็นต้น เหตุผลเพราะประเมินได้ยาก และไม่แน่นอน อย่างเช่น กรณีคู่รักกัน มูลค่าชีวิตทางจิตใจอาจจะสูงยามรักกัน แต่อาจเป็นศูนย์หรือติดลบก็ได้เมื่อมีเรื่องหมางใจกัน เป็นต้น
ประกันชีวิตเท่าใดดี
คำถามหนึ่งที่มักถามกันมากเวลาจะตัดสินใจซื้อประกันชีวิตก็คือ ควรซื้อทุนประกันเท่าไหร่ดี ทุนประกันที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันไปตามความต้องการ ภาระความรับผิดชอบ ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม ในทางประกันมี 3 แนวคิดที่พอจะให้แนวทางเกี่ยวกับทุนประกันที่เหมาะสมของแต่ละบุคคล ดังนี้
1.การคำนวณทุนประกันจากมูลค่าชีวิตของผู้มีรายได้ (Human life value approach)
2.การคำนวณทุนประกันจากความต้องการของครอบครัว (Life insurance needs approach)
3.การคำนวณทุนประกันจากทุนสำหรับครอบครัว (Capital needs approach)
วิธีที่เราจะมาพูดกันถึงในวันนี้ก็คือ วิธีที่ 1 การคำนวณทุนประกันจากมูลค่าชีวิตของผู้มีรายได้ (Human life value approach) โดยมีหลัก คือ เขาสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นเท่าไหร่นั่นเอง
การคำนวณทุนประกันจากมูลค่าชีวิตของผู้มีรายได้ (Human life value approach)
มาจากแนวคิดที่ว่า คุณค่าทางการเงินของบุคคลคือรายได้ที่เขามอบให้แก่ครอบครัว หากบุคคลคนนั้นเสียชีวิต ครอบครัวก็จะขาดรายได้ในส่วนนั้นไป รายได้ที่ขาดหายไปจากการที่ครอบครัวสูญเสียผู้หารายได้ คือ มูลค่าชีวิต หรือ Human life value (HLV) ซึ่งคำนวณโดยการหามูลค่าปัจจุบันของรายได้ในอนาคตที่บุคคลนั้นมอบให้แก่ครอบครัว โดยมีรายละเอียดการคำนวณ ดังนี้
1.ประมาณรายได้ในแต่ละปีของผู้มีรายได้ตลอดช่วงชีวิตที่เหลืออยู่โดยประมาณของเขา
2.หักลบภาษีเงินได้ เงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เบี้ยประกันชีวิต ฯลฯ และค่าใช้จ่ายส่วนตัวของผู้มีรายได้ เพื่อคำนวณหารายได้ในส่วนที่ผู้มีรายได้ใช้จุนเจือครอบครัว (คือรายได้ที่เขาหาเพื่อประโยชน์สำหรับผู้อื่น คือครอบครัวของเขานั่นเอง)
3.ประมาณจำนวนปีนับจากอายุปัจจุบันจนถึงอายุที่คาดหมายของผู้มีรายได้
4.คำนวณหา HLV หรือมูลค่าปัจจุบันของรายได้ในส่วนที่จุนเจือครอบครัวของผู้มีรายได้จากจำนวนปีที่คำนวณได้ในข้อ 3 โดยกำหนดอัตราส่วนลด (Discount Rate) ที่เหมาะสม
ตัวอย่าง
นายสมศักดิ์ อายุ 25 ปี มีบุตร 2 คน มีรายได้ 1 ล้านบาทต่อปี และตั้งใจจะเกษียณอายุที่อายุ 60 ปี สมมติให้รายได้นายสมศักดิ์คงที่ตลอดระยะเวลา
นายสมศักดิ์ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 20 และจ่ายเงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพรวมทั้งใช้จ่ายส่วนตัวปีละ 5 แสนบาท ดังนั้นนายสมศักดิ์จะมีเงินเหลือเพื่อจุนเจือครอบครัวปีละ 3 แสนบาท
คำนวณหามูลค่าปัจจุบันจากรายได้ส่วนที่จุนเจือครอบครัว จากอัตราส่วนลดในที่นี้สมมติให้เท่ากับ 5% ต่อปี จะได้มูลค่าปัจจุบัน 4,912,258 บาท ซึ่งก็คือ มูลค่าชีวิตของผู้มีรายได้ต่อครอบครัว
ข้อดีของวิธีมูลค่าชีวิต คือ ง่าย ข้อเสียคือ ไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น
รายได้อื่นๆ ของผู้มีรายได้ เช่น เงินออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
เงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้และค่าใช้จ่าย
การเปลี่ยนแปลงของรายได้ที่จุนเจือครอบครัว
การเปลี่ยนแปลงของอัตราส่วนลด (อัตราผลตอบแทนของเงินที่คาดว่าควรจะได้ เช่น อาจเป็นผลตอบแทนจากการลงทุนของเงินออมของนายสมศักดิ์ที่เขาสามารถหาได้โดยเฉลี่ย หรืออาจเป็นผลตอบแทนที่คาดว่าน่าจะได้ในอนาคตจากการนำเงินออมไปลงทุน เป็นต้น)
วิธีนี้คล้ายๆ กับการคำนวณ “มูลค่าการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ” เช่น รายได้ของผู้ตายขณะยังมีชีวิตอยู่ ที่นิยมใช้ในด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข หลายครั้งเรามักจะใช้วิธีนี้ร่วมกับการประเมินความคุ้มค่า (Costbenefit analysis) ตัวอย่างเช่น กรณีเปรียบเทียบค่ารักษาพยาบาลกับประโยชน์ที่บุคคลนั้นจะทำให้ได้ หลายกรณีเมื่อเปรียบเทียบแล้วว่าไม่คุ้ม ก็ไม่รักษา เป็นต้น ที่เป็นการนำต้นทุนของการรักษามาเปรียบเทียบกับ Value of Life เพื่อทราบว่าการรักษาดังกล่าวมีความคุ้มมากแค่ไหน
หากสนใจการวางแผนการเงิน สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ฝ่ายธนบดีธนกิจ ธนาคารเกียรตินาคิน โทร. 026803333


