CHOW หุ้นเหล็กที่แตกต่าง
ถึงแม้บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ (CHOW) หุ้นเหล็กน้องใหม่ที่เพิ่งเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
โดย...อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร
ถึงแม้บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ (CHOW) หุ้นเหล็กน้องใหม่ที่เพิ่งเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ช่วงปลายปี 2554 จะสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนอย่างแรง เพราะนอกจากวันแรกที่ซื้อขายราคาจะไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนไอพีโอรุ่นพี่แล้ว วันที่ 2 ยังหลุดต่ำกว่าราคาจอง 3 บาทต่อหุ้นอีกต่างหาก...แต่ “อนาวิล จิรธรรมศิริ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CHOW ยังมั่นใจว่าหุ้นของเขาจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้ เพราะเชาว์ สตีลฯ เป็นหุ้นเหล็กที่แตกต่างและมีศักยภาพเติบโตสูง
ผู้บริหารหนุ่มวัย 33 ปี อธิบายให้ฟังว่า เชาว์ สตีลฯ เป็นผู้ผลิตเหล็กต้นน้ำที่เรียกว่าเหล็กแท่งยาว (Steel Billet) ที่ลูกค้าสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เหล็กเพื่อการก่อสร้างได้หลายชนิด เช่น เหล็กเส้นกลม (Round Bar) และเหล็กข้ออ้อย (Deformed Bar) ซึ่งจะนำไปใช้เป็นวัสดุก่อสร้างบ้าน อาคารพาณิชย์ สะพาน เขื่อน ทางยกระดับ และอาคารสูง ซึ่งเหล็กแท่งยาวเป็นสินค้าที่ใช้ในประเทศไทยมากปีละ 1012 ล้านตัน แต่ผู้ประกอบการทั้งหมด 18 รายในอุตสาหกรรมมีกำลังผลิตตลอด 24 ชั่วโมงเพียงปีละ 5-6 ล้านตัน ทำให้ยังขาดแคลนและต้องนำเข้าเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเหล็กแท่งยาวจึงเป็นสินค้าที่ขายได้และมีโอกาสเติบโตสูง
ขณะที่ เชาว์ สตีลฯ เป็นผู้ประกอบการไม่กี่รายที่มีโรงหลอมเหล็กเป็นของตนเอง ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งทั้งในด้านต้นทุนการผลิตและลดความเสี่ยงจากการนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ นอกจากนี้ยังเป็นเหล็กต้นน้ำที่ปัจจุบันประเทศไทยยังผลิตไม่พอกับความต้องการ บริษัทจึงมีจุดยืนเสนอตัวเพื่อเป็นทางเลือกทดแทนการนำเข้า ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงให้กับผู้ประกอบการที่จำเป็นต้องใช้เหล็กประเภทนี้
“อุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องใช้เหล็กแท่งยาว ถ้าเลือกได้ต้องซื้อจากผู้ผลิตในประเทศ เพราะการซื้อเหล็กแท่งยาวจากต่างประเทศมีความเสี่ยงมาก เช่น ความเสี่ยงจากการสต๊อกสินค้า การส่งมอบสินค้า วงเงินที่ใช้ในการสต๊อกสินค้าสูงกว่า ภาระดอกเบี้ยมากกว่า และมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาเหล็ก เพราะต้องใช้เวลาในการสต๊อกสินค้าที่ยาวนานกว่าการสั่งซื้อในประเทศ”
อย่างไรก็ตาม “อนาวิล” ย้ำว่า หัวใจสำคัญของ CHOW คือการบริหารธุรกิจเหล็กที่แตกต่างออกไป โดยเน้นการบริหารต้นทุนผลิตให้สามารถแข่งขันได้ และการบริหารคลังสินค้าหรือการบริหารราคาเหล็ก เนื่องจากเหล็กเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่เคลื่อนไหวขึ้น-ลงเร็ว หากบริหารจัดการไม่ดีก็จะทำให้ขาดทุนได้ ทั้งๆ ที่มียอดขายเข้ามาเป็นประจำหลักพันล้าน-หมื่นล้านบาทก็ตาม ซึ่งนโยบายของบริษัทที่พยายามสื่อให้นักลงทุนทราบมาตลอดก็คือ บริษัทจะผลิตสินค้าก็ต่อเมื่อมีคำสั่งซื้อ (Make to order) เท่านั้น และจะไม่ผลิตสินค้ามาเก็บไว้เพื่อรอคำสั่งซื้อ (Make to stock) ดังนั้นความเสี่ยงในเรื่องราคาจะมีไม่มากนัก
“เมื่อลูกค้าสั่งซื้อเหล็กเราก็จะไปดูราคาวัตถุดิบแล้วนำมาบวกด้วยอัตรากำไรที่แน่นอน หากได้ราคาตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ถึงจะรับออร์เดอร์นั้น แต่เราจะไม่ผลิตสินค้ามากองไว้แล้วรอให้ลูกค้ามาเลือกซื้อ เพราะไม่รู้ว่าจะขายหมดเมื่อไหร่ มันเหมือนเล่นการพนัน หากราคาเหล็กเพิ่มขึ้นในช่วงนั้นก็กำไรมหาศาล แต่หากราคาลดลงก็ขาดทุนมหาศาลเหมือนกัน ของเราใช้หลักซื้อถูกขายถูก ซื้อแพงขายแพง ล็อกมาร์จินไว้เรียบร้อย ได้น้อยหน่อยแต่ได้แน่นอน เราไม่เล่นการพนัน”
นอกจากนี้ บริษัทยังมีนโยบายไม่ให้สต๊อกสินค้าเกิน 2 เดือน แต่ที่ผ่านมาใช้วิธีรับออร์เดอร์ล่วงหน้า 1 เดือน และซื้อวัตถุดิบล่วงหน้า 1 เดือน ทำให้มีความเสี่ยงเรื่องราคาน้อยมาก เพราะในคลังสินค้าจะมีสต๊อกเหล็กอยู่เพียง 30 วัน และเป็น 30 วันที่มีเจ้าของรับซื้อแล้ว
ส่วนกลยุทธ์ในการบริหารต้นทุนของบริษัทจะเน้นไปที่เรื่องของวัตถุดิบและต้นทุนพลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก โดยในส่วนของวัตถุดิบจะพยายามคัดเลือกเฉพาะเหล็กที่มีคุณภาพเพื่อลดความสูญเสียจากวัตถุดิบให้น้อยลง ซึ่งปกติในอุตสาหกรรมโรงหลอมเหล็กมีอัตราความสูญเสียประมาณ 8-15% แต่เป้าหมายของ เชาว์ สตีลฯ คือคุมไว้ไม่ให้เกิน 7% แต่ที่ผ่านมาสามารถทำได้เฉลี่ยอยู่ที่ 5-6% ถือว่าประสิทธิภาพในการผลิตดีมาก
“ความสูญเสียส่วนใหญ่มาจากคุณภาพเหล็กไม่ดี เหล็กบางอย่างมีสิ่งเจือปนมาก หรือกร่อนไปแล้ว ทำให้เวลาเอามาหลอมต้องใช้พลังงานมาก หรือได้เนื้อเหล็กน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็จะทำให้เสียหายได้ เราจึงต้องให้ความสำคัญกับการคัดเลือกวัตถุดิบค่อนข้างมาก”
นอกจากนี้ บริษัทพยายามลดต้นทุนพลังงานไฟฟ้าให้ได้มากที่สุด โดยหันมาหลอมเหล็กและผลิตสินค้าในเวลากลางคืนแทน เพราะเป็นช่วงที่มีอัตราค่าไฟฟ้าต่ำกว่าเวลากลางวัน 2 เท่าตัว ขณะเดียวกันต้องผลิตสินค้าให้ได้ครั้งละมากๆ ถึงระดับที่กำหนดไว้ เพื่อประหยัดพลังงานและลดต้นทุนต่อหน่วยลง
“อนาวิล” กล่าวต่อว่า ในปี 2555 บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 6,000-6,500 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นจากปี 2554 ประมาณ 20-30% ซึ่งรายได้ดังกล่าวจะมาจากการขยายกำลังผลิตเหล็กให้สูงขึ้นเป็น 3.4-3.6 แสนตันต่อปี จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.8-3 แสนตันต่อปี เพื่อรองรับการเติบโตของเหล็กต้นน้ำที่ขยายตัวต่อเนื่อง
“หลังเกิดอุทกภัยในประเทศทำให้มีความต้องการใช้เหล็กเพื่อซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้รับคำสั่งซื้อใหม่ๆ เข้ามาต่อเนื่อง จากต่างประเทศก็มี เช่น ศรีลังกา ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และบังกลาเทศ แต่เราให้ความสนใจกับลูกค้าในประเทศไทยมากกว่า เพราะต้นทุนขนส่งต่ำกว่า มาร์จินสูงกว่า ส่วนการรุกตลาดต่างประเทศยังเป็นเรื่องของอนาคต”
ส่วนการขยายโรงงานเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตนั้นมองว่ายังไม่จำเป็น เพราะบริษัทมีกำลังผลิตตลอด 24 ชั่วโมง สูงถึง 7.3 แสนตันต่อปี และมีกำลังผลิตในช่วงกลางคืน 4.5 แสนตันต่อปี แต่ปัจจุบันสามารถเดินเครื่องผลิตได้เพียง 58% ของกำลังผลิตเวลากลางคืน และจะเพิ่มเป็น 75% ในปีนี้ ดังนั้นบริษัทยังมีกำลังผลิตช่วงกลางคืนเหลืออยู่ 25% และกำลังผลิตช่วงกลางวัน 100% ทำให้สามารถรับออร์เดอร์ลูกค้าได้อีกมากโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม
“อนาวิล” ทิ้งท้ายว่า ที่ผ่านมาหุ้นเหล็กมักถูกมองข้าม เพราะนักลงทุนขาดความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจเหล็ก แต่อยากให้มองว่าเหล็กเป็นสินค้าพื้นฐานที่ขายได้เสมอ ถ้านักลงทุนเชื่อแบบนั้นหุ้นเหล็กก็ยังน่าสนใจลงทุน แต่ต้องเลือกเป็นรายตัว เพราะนโยบายและการบริหารจัดการของแต่ละบริษัทไม่เหมือนกัน สำหรับ เชาว์ สตีลฯ เราเป็นเหล็กต้นน้ำที่ยังขาดแคลน เราไม่มีนโยบายเก็งกำไรราคาเหล็ก และที่ผ่านมาเติบโตเป็นเลขสองหลักสม่ำเสมอ


