ทรู...ผนึกยักษ์เกาหลีบุกไทย เน้นความสดใหม่ ปฏิวัติโฮมช็อปปิ้ง
“โอ้ว พระเจ้าจอร์จ มันยอดมากเลยค่ะ” คำพูดติดหูของ ซาราห์ ที่กำลังสาธิตเครื่องออกกำลังกายแอบโดมิไนเซอร์
โดย...นันทิยา วรเพชรายุทธ
“โอ้ว พระเจ้าจอร์จ มันยอดมากเลยค่ะ” คำพูดติดหูของ ซาราห์ ที่กำลังสาธิตเครื่องออกกำลังกายแอบโดมิไนเซอร์ ยังคงเป็นสิ่งที่อยู่ในความทรงจำของคนส่วนใหญ่เมื่อพูดถึงคำว่า “ทีวีโฮมช็อปปิ้ง” ในความรู้สึกของคนไทย
แต่ในวันนี้อาจถึงเวลาที่ธุรกิจโฮมช็อปปิ้งในไทยจะเปลี่ยนโฉมหน้า ที่ไม่ได้ขายแค่เครื่องออกกำลังกายและกระทะ
เพราะยักษ์ธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิก (เคเบิลทีวี) ของไทยที่ชื่อ ทรูวิชั่นส์ ได้จับมือกับโฮมช็อปปิ้งเบอร์ 1 จากเกาหลีอย่าง จีเอส ช็อป (GS Shop) เตรียมเปิดตัวช่องโฮมช็อปปิ้งพรีเมียมในรูปแบบใหม่ที่ต่างจากคู่แข่งรายอื่นๆ ในวันที่ 1 ต.ค.นี้ บนเป้าหมายที่แสนจะห้าวหาญว่าจะเบียดขึ้นแท่นหมายเลข 1 ในธุรกิจโฮมช็อปปิ้งภายใน 3 ปี
“ทรูซีเล็คส์” คือชื่อช่องโฮมช็อปปิ้งใหม่ที่จะออกอากาศตลอด 24 ชั่วโมง ในช่อง 11 ทรูวิชั่นส์ ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัททรูวิชั่นส์ บริษัทซีพี ออลล์ บริษัทเดอะ มอลล์ กรุ๊ป และจีเอส ช็อป (เกาหลี) ในบริษัทที่ชื่อว่า “ทรู จีเอส” (True GS)
ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นบททดสอบชั้นดีภายใต้เงื่อนไขสุกงอมในหลายด้าน โดยจะใช้โนว์ฮาวของจีเอส ช็อป เข้ามาขยายธุรกิจโฮมช็อปปิ้งสไตล์เกาหลีในไทยเป็นประเทศแรกในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชียต่อจากประเทศจีนและอินเดีย
วอนโฮลิม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (ซีโอโอ) ของบริษัท จีเอส ช็อป ประเทศเกาหลี กล่าวอย่างมั่นใจว่า ไทยยังไม่เคยมีทีวีโฮมช็อปปิ้งในรูปแบบนี้มาก่อน และเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จ เพราะที่ผ่านมารูปแบบโฮมช็อปปิ้งในไทยนั้นยังเป็นสไตล์อเมริกันที่ถ่ายทำและบันทึกรายการเอาไว้ก่อนจะนำออกอากาศซ้ำๆ กัน (รีรัน) ทำให้ไม่มีความสดใหม่หรือน่ารับชม และยังเป็นสินค้าเฉพาะกลุ่มเป็นส่วนใหญ่ อาทิ เครื่องออกกำลังกาย และเครื่องครัว
ทว่า โฮมช็อปปิ้งในสไตล์เกาหลีจะต่างกัน โดยเฉพาะในด้านสินค้าและรูปแบบการนำเสนอ สินค้าที่เสนอขายจะเป็นสินค้าที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่อาหาร ชุดชั้นใน ของใช้เบ็ดเตล็ด ไปจนถึงสินค้าขนาดใหญ่อย่างรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์ แพ็กเกจท่องเที่ยว และประกันภัย ซึ่งมีตั้งแต่สินค้าแบรนด์ท้องถิ่นไปจนถึงสินค้าแบรนด์ระดับโลก ที่รู้จักกันในวงกว้าง โดยในปี 2553 บริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและอุปกรณ์ดิจิตอล 20% เครื่องใช้ในครัวเรือน 14% และสินค้าเกี่ยวกับความงาม 12%
ที่สำคัญคือ การนำเสนอที่เน้นกระบวนการผลิตแบบสดใหม่ให้ดึงดูดผู้ชม โดยจีเอส ช็อป นับเป็นผู้บุกเบิกรูปแบบการนำเสนอรายการโฮมช็อปปิ้งในเกาหลี ด้วยการจัดรายการสดผ่านหน้าจอ 24 ชั่วโมง มีรายการสดมากถึง 30–45 รายการตลอดทั้งวัน ภายใต้สตูดิโอถ่ายทำ 3 สตูดิโอ สลับหมุนเวียนกันตลอดทั้งวัน
และเพื่อให้เห็นว่าเป็นรายการสดจริง และเป็นโปรโมชันสำหรับลูกค้าที่โทร.สั่ง 10 สายแรกอย่างแท้จริง ก็จะมีโปรแกรมแสดงคำสั่งซื้อสินค้าบนหน้าจอทีวีไปพร้อมกัน เพื่อให้ดูสดใหม่และดึงดูดความสนใจผู้ชม พร้อมนโยบายจัดส่งสินค้าฟรี และรับประกันคืนสินค้าภายใน 15 วัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า ซึ่งรูปแบบช่อง “ทรู จีเอส” ก็จะใช้รูปแบบนี้เช่นกัน
แม้ตลาดโฮมช็อปปิ้งในไทยยังมีสัดส่วนที่เล็กและค่อนข้างใหม่ในภูมิภาค แต่ประเทศไทยก็มีความได้เปรียบในแง่ของบรรยากาศธุรกิจค้าปลีกที่ขยายตัวได้ดีภายในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกัน และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
หากมองย้อนเข้าไปในเกาหลีจะพบว่า จีเอส ช็อป เริ่มธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2538 และทำยอดขายได้เพียง 1.21 ล้านเหรียญสหรัฐในปีแรก แต่กลับขยายตัวมาได้อย่างต่อเนื่องจนมียอดขายพุ่งขึ้น 2.22 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 124% ระหว่างปี 2538–2545 โดยปัจจุบันเป็นผู้ครองอันดับ 1 ในตลาดโฮมช็อปปิ้งของเกาหลี และยังขายสินค้าผ่านช่องทางอื่นเช่น แค็ตตาลอก อินเทอร์เน็ต และโมบายล์ ช้อปปิ้ง โดยมีแผนขยายธุรกิจต่อไปยังอินโดนีเซีย และเวียดนาม อีกด้วย
สำหรับบริษัทร่วมทุน ทรู จีเอส นั้นมีทุนจดทะเบียน 240 ล้านบาท โดยทรูวิชั่นส์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด 45% ขณะที่จีเอส ช็อป เกาหลี ถือหุ้น 35% เดอะมอลล์ กรุ๊ป 10% และซีพี ออลล์ 10% ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 100 ล้านบาท เพียงแค่ 3 เดือนแรกหลังเปิดตัวในวันที่ 1 ต.ค.นี้ ก่อนจะเพิ่มเป้ารายได้เป็น 800 ล้านบาทในปีหน้า
ไพบูลย์ ผู้พัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรู จีเอส กล่าวว่า ผู้บริโภคชาวไทยมีพฤติกรรมการบริโภคที่ปรับตัวให้ทันกับยุคสมัยมากขึ้น และให้การตอบรับการซื้อขายสินค้าทางโฮมช็อปปิ้งที่ดีขึ้น โดยตั้งเป้าว่าช่องทรูซีเล็คส์จะเข้าถึงฐานผู้ชมราว 4 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ
ขณะเดียวกัน พฤติกรรมการบริโภคของคนไทยก็ได้เปลี่ยนไปสู่วิถีชีวิตที่เร่งรีบมากขึ้น พร้อมกับการบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นตามการขยายตัวของสังคมชนชั้นกลาง และหากจะกล่าวว่าคนไทยเปิดรับเทคโนโลยีหรือสิ่งใหม่ๆ ได้ง่าย ก็คงไม่ผิดนักที่จะถือเป็นอีกข้อได้เปรียบสำหรับการลงทุนธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ
อย่างไรก็ตาม ตลาดไทยที่ดูเหมือนง่ายและเปิดกว้างสำหรับธุรกิจใหม่ ก็ได้ชื่อว่าเป็นตลาดปราบเซียนมาโดยตลอด และทำให้ธุรกิจต่างชาติหลายชนิดต้องม้วนกลับบ้านไปนักต่อนักมาแล้ว เมื่อไม่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วพอ โดยเฉพาะในธุรกิจค้าปลีกที่ได้ชื่อว่าขยายตัวได้ดีที่สุดด้านหนึ่งในภูมิภาคก็เต็มไปด้วยการแข่งขันอย่างดุเดือด เช่นที่คาร์ฟูร์ต้องยุติห้างค้าปลีก 42 แห่งในประเทศไทย และขายไปในราคา 1,180 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว
แต่หากตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวไทยได้ตรงจุดและปรับตัวตามสถานการณ์ได้รวดเร็วพอ ไทยแลนด์ก็อาจเป็นการทดลองบุกตลาดโฮมช็อปปิ้งสไตล์เกาหลีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่น่าจับตาไม่น้อยทีเดียว


