แนวคิดฝ่าวิกฤตยูโรโซน
แนวคิดเพื่อฝ่าวิกฤติยูโรโซนปัจจุบัน กลุ่มยูโรโซนหรือประเทศใช้เงินสกุลยูโรเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนในประเทศ
แนวคิดเพื่อฝ่าวิกฤติยูโรโซนปัจจุบัน กลุ่มยูโรโซนหรือประเทศใช้เงินสกุลยูโรเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนในประเทศ
โดย..ยุทะศักดิ์ คณาสวัสดิ์
ต้องเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ เนื่องจากมีหนี้สาธารณะในระดับสูงเมื่อเปรียบเทียบกับ GDP กล่าว คือ กรีซ 143% อิตาลี 119% ไอร์แลนด์ 96% โปรตุเกส 93% ขณะที่สเปนจะค่อนข้างต่ำ คือ 60% แต่ขาดดุลงบประมาณสูงถึง 9.2% ในปี 2553 โดย 5 ประเทศมีหนี้สาธารณะรวมกัน 3.1 ล้านล้านยูโร
ปัจจุบัน กรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกสเผชิญกับวิกฤตไปแล้ว และมีแนวโน้มสูงกว่าอิตาลีและสเปนจะเป็นเหยื่อรายต่อไป โดยพันธบัตรของอิตาลีและสเปนต้องเสนอผลตอบแทนในอัตราสูงกว่า 6% เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น นับเป็นภาระหนักมากสำหรับรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ ดังนั้นธนาคารกลางของยุโรปต้องแก้ไขสถานการณ์ โดยซื้อพันธบัตรของทั้งสองประเทศเพื่อดึงอัตราผลตอบแทนลงให้เหลือ 5%
แนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของยูโรโซนนั้น มีผู้เสนอหลายแนวทาง
ประการแรก ตัดทอนการขาดดุลงบประมาณ เพื่อลดปัญหาหนี้สาธารณะ โดยนายกรัฐมนตรีเยอรมนีและประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้ประกาศร่วมกันเมื่อเดือน ส.ค. 2554 เรียกร้องให้ออกกฎหมายบังคับให้ประเทศสมาชิกกลุ่มยูโรโซนต้องมีงบประมาณสมดุล ทั้งนี้ฝรั่งเศสกำหนดจะปรับลดการขาดดุลงบประมาณลงตามลำดับ จาก 7.1% ปี 2553 เหลือ 5.7% ปี 2554 4.6% ปี 2555 และ 3% ปี 2556
แต่ข้อเสียสำคัญของนโยบายนี้ กรณีนำมาใช้ในปัจจุบันคือ จะยิ่งทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจอ่อนแอมากขึ้นไปอีก การว่างงานจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้จัดเก็บภาษีอากรได้ลดลง ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมเพิ่มขึ้น กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่ากับดักหนี้ ยิ่งไปกว่านั้นจะส่งผลกระทบไปถึงประเทศอื่นๆ เช่น เยอรมนี เนื่องจากส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้ได้น้อยลง
คริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ ได้กล่าวเตือนรัฐบาลประเทศต่างๆ ว่า แม้ความยั่งยืนทางการคลังนับเป็นสิ่งจำเป็น แต่การลดหนี้สาธารณะควรมองในระยะยาว ไม่ควรตัดงบประมาณรายจ่ายอย่างทันทีทันใดในระยะสั้น มิฉะนั้นจะเสมือนกับเหยียบเบรกรถยนต์ ซึ่งจะส่งผลทำให้เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวอย่างเปราะบางนั้น อาจจะถึงขั้นกลับคืนสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งหนึ่ง
ประการที่สอง เสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซน โดยให้ประเทศที่แข็งแรงกว่าหันมาช่วยเหลือประเทศที่อ่อนแอกว่า โดย รมว.คลังอิตาลี ได้กล่าวอุปมาอุปไมยว่า สมาชิกกลุ่มยูโรโซนเปรียบเสมือนกับเป็นผู้โดยสารบนเรือไททานิคลำเดียวกัน หากเรือล่มแล้ว แม้ผู้โดยสารชั้นหนึ่งก็ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองให้รอดชีวิตได้ ดังนั้น ผู้โดยสารทุกคนจะต้องสามัคคีช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ทั้งนี้ ในอดีตได้มีความร่วมมือในด้านนี้มาบ้างแล้ว โดยจัดตั้งกองทุนมูลค่า 4.4 แสนล้านยูโร แต่ยังไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาใหญ่ได้ แม้ปัจจุบันมีข้อเรียกร้องของหลายฝ่ายให้เติมเงินเข้ากองทุน แต่ประเทศชั้นนำในกลุ่มยูโรโซน คือ เยอรมนีและฝรั่งเศสยังมีท่าทีจะปฏิเสธที่จะส่งเงินสมทบเพิ่มเติม เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นภาระทางการเงินแก่ประเทศของตนเอง โดยเฉพาะกรณีของฝรั่งเศส ซึ่งสถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก ปัจจุบันมีหนี้สาธารณะ 85% ของ GDP หากต้องแบกภาระช่วยเหลือเป็นเงินจำนวนมาก อาจจะส่งผลทำให้ถูกจัดลดความน่าเชื่อถือซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับสูงสุด AAA ให้ลดต่ำลงมาได้ ส่วนเยอรมนีแม้แข็งแกร่งกว่า ก็มีหนี้สาธารณะสูงถึง 82% ของ GDP และความเห็นของประชาชนเยอรมนีส่วนใหญ่ต่อต้านการที่รัฐบาลจะเข้าไปแบกรับภาระหนี้สินของประเทศอื่นๆ
ประการที่สาม ออกพันธบัตรยุโรป ซึ่งค้ำประกันโดยสมาชิกยูโรโซน 17 ประเทศ เพื่อทดแทนการที่แต่ละประเทศออกพันธบัตรของตนเอง ผลดี คือ สามารถกู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำลง ดังนั้น สามารถแก้ไขปัญหาที่ประเทศอ่อนแอต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูง แต่เยอรมนีและฝรั่งเศสมีท่าทีไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เนื่องจากเท่ากับเป็นการที่ตนเองไปค้ำประกันหนี้ของประเทศอื่นๆ
ประการที่สี่ เชิญให้ประเทศที่อ่อนแอ คือ กรีซ โปรตุเกส ฯลฯ ลาออกจากการเป็นสมาชิกยูโรโซน เพื่อให้ประเทศเหล่านี้สามารถลดค่าเงินของตนเอง จะส่งผลดีต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศนั้นๆ ทำให้วิกฤตเศรษฐกิจผ่อนคลายลง โดยนายจอร์จ โซรอส ได้สนับสนุนแนวคิดนี้ พร้อมกับกล่าวว่าการถอนตัวข้างต้นจะส่งผลกระทบต่อเงินยูโรน้อยมาก อย่างไรก็ตาม เยอรมนีได้คัดค้านแนวคิดนี้อย่างเต็มที่ เนื่องจากหวั่นเกรงว่าหากกลุ่มยูโรโซนมีจำนวนสมาชิกลดน้อยลง จะกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อเงินยูโร
สุดท้ายนี้ แม้จะมีข้อเสนอหลากหลาย แต่ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร ทำให้ภาวะของกลุ่มยูโรโซนยังอึมครึมไม่สดใส จึงมีการกล่าวว่า ปัญหาสำคัญของกลุ่มยูโรโซน คือ การขาดผู้นำที่กล้าพอจะตัดสินใจแก้ปัญหา


