‘อโรม่า’ตะลุยสาขาชาวดอยเพิ่มแฟรนไชส์
อโรม่า กรุ๊ป เร่งเครื่องขายแฟรนไชส์ชาวดอย คาดตามเป้าสิ้นปีเพิ่มอีก 200 สาขาดันยอดรวมทั้งปีโต 30%
อโรม่า กรุ๊ป เร่งเครื่องขายแฟรนไชส์ชาวดอย คาดตามเป้าสิ้นปีเพิ่มอีก 200 สาขาดันยอดรวมทั้งปีโต 30%
นายพริษฐ์ อนุกูลธนาการ ผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการ อโรม่า กรุ๊ป ผู้บริหารร้านกาแฟไนน์ตี้ โฟร์ และชาวดอย เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลังกลุ่มอโรม่า กรุ๊ป ตั้งเป้าขยายสาขาใหม่ให้กับแฟรนไชส์ร้านกาแฟชาวดอยเพิ่มอีก 200 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 250 สาขา รองรับความต้องการของผู้สนใจมีธุรกิจเป็นของตัวเองเป้าหมายดังกล่าวจะและส่งผลให้บริษัทมีอัตราการเติบโตตามเป้าที่ 30% หรือมียอดขายสิ้นปีอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่สนใจซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟชาวดอยเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีคีออสก์ขนาดเล็กใช้เงินลงทุนเริ่มต้น 5.5 หมื่นบาท ทำให้ผู้สนใจลงทุนตัดสินใจได้ง่าย จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ชาวดอยมีสาขาที่เป็นคีออสก์มากที่สุด สัดส่วนอยู่ที่ 50%
นอกจากนี้ มีรูปแบบคอร์เนอร์พรีเมียม พื้นที่ประมาณ 5 ตร.ม.ใช้เงินลงทุน 8.5 หมื่นบาท มีสัดส่วนอยู่ที่ 30% และชาวดอย พรีเมียม จะเป็นลักษณะร้านนั่งดื่ม มีพื้นที่ประมาณ 20 ตร.ม. ใช้เงินลงทุน 1.5 แสนบาท มีสัดส่วนอยู่ที่ 20% ทั้งนี้ บริษัทไม่ได้เน้นว่าสาขาใหม่จะต้องเป็นสาขาในรูปแบบใด ขึ้นอยู่กับทำเลที่ลูกค้าต้องการเปิดเป็นหลัก และยังได้ทำความร่วมมือกับเทสโก้ โลตัส บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ และท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ในการเสนอพื้นที่ในโมเดิร์นเทรดต่าง ๆ ให้กับลูกค้าแฟรนไชส์ในการลงทุนเปิดสาขาใหม่
นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า การเร่งขยายตัวดังกล่าว บริษัทยังต้องพัฒนาทีมอบรมและตรวจสอบคุณภาพ เพื่อควบคุมคุณภาพแฟรนไชส์ให้ดำเนินการตามสูตรกาแฟชาวดอย โดยหากแฟรนไชส์รายใดไม่สามารถทำตามสูตรที่วางไว้ จะมีการเสนอให้ใช้แบรนด์โอเค เอสเปรสโซ่แทน ซึ่งไม่เน้นเรื่องสูตรมาก เพื่อยืดหยุ่นให้กับการทำธุรกิจของลูกค้าแฟรนไชส์ และรักษาฐานลูกค้าให้ยังคงสั่งซื้อเมล็ดกาแฟจากบริษัท
สำหรับร้านไนน์ตี้ โฟร์ ในครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีสาขาใหม่อีก 10 แห่ง จากปัจจุบันมีทั้งหมด 45 สาขา โดยแบรนด์ดังกล่าวเป็นร้านกาแฟพรีเมียมที่เน้นสาขาในปั๊มน้ำมัน และใช้เงินลงทุน 2.5 ล้านบาท จึงขยายตัวได้ช้ากว่ากาแฟชาวดอย
“แนวโน้มตลาดกาแฟสดยังมีโอกาสขยายตัวได้อีก เพราะอัตราการบริโภคกาแฟของผู้บริโภคคนไทยยังต่ำมาก เฉลี่ยอยู่ที่ 0.75 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ในปีที่ผ่านมาซึ่งเพิ่มจากปีก่อนที่มีอัตราการบริโภคอยู่ที่ 0.5 กิโลกรัมต่อคนต่อปี” นายพริษฐ์ กล่าว


