posttoday

ชิจิดะ สถาบันพัฒนาสมองเด็ก หลักสูตรต้นแบบจากญี่ปุ่น

15 กุมภาพันธ์ 2553

8...ชนิกา สุขสมจิตร

 

ความหลากหลายของโรงเรียนสอนพิเศษในปัจจุบันมีให้บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองได้เลือกเฟ้นตามความต้องการมากมาย ส่วนใหญ่จะเน้นการเสริมสร้างความรู้พื้นฐาน ภาษา ทักษะ ตลอดจนไปถึงการกวดวิชาเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมและมหาวิทยาลัย

แต่ก็มีความพยายามของนักวิชาการในการพัฒนาหลักสูตรการเรียนให้กับเด็กที่เน้นเฉพาะในเรื่องของการพัฒนาสมอง โดยนำเอาทฤษฎีของการลำดับพัฒนาการทางสมองซีกซ้ายและซีกขวาที่ไม่เท่ากันตามช่วงอายุมาศึกษาและปรับใช้ เพื่อให้สมองของเด็กได้รับการพัฒนาไปพร้อมๆ กัน

ชิจิดะ ถือเป็นสถาบันพัฒนาการใช้สมองของเด็กเล็กรูปแบบใหม่ มีหลักสูตรการเรียนการสอนที่คิดค้นโดยศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นที่มีความเชี่ยวชาญด้านสมอง และเข้ามาเปิดตัวในเมืองไทยมากว่า 1 ปีแล้ว ซึ่งกลุ่มผู้บริหารของชิจิดะในไทยได้เล็งเห็นถึงความละเอียดอ่อนของวิธีการสอน ตลอดจนเนื้อหาในห้องเรียนที่แตกต่างจากโรงเรียนสอนพิเศษแห่งอื่นๆ ในไทย

วรมน บุษยพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิจิดะ (ไทยแลนด์) ผู้บริหารสถาบันชิจิดะ อธิบายถึงที่มาของชื่อ ชิจิดะ ว่า เป็นชื่อของอาจารย์ญี่ปุ่นที่เป็นคนคิดหลักสูตร โดยไปพบโรงเรียนชิจิดะครั้งแรกที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นคอร์สการเรียนที่ไม่เหมือนที่เคยเห็นมาก่อน เพราะไม่ใช่เพียงแค่ส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการเท่านั้น ยังช่วยสร้างความรักความผูกพันระหว่างพ่อแม่ด้วย เรียกว่าเรียนผ่านการเล่น

ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ เป็นการพัฒนาสมองของเด็กทั้งซีกซ้ายและขวาไปพร้อมๆ กันให้เกิดความสมดุล จากปกติการพัฒนาสมองจะเริ่มจากซีกขวาเป็นหลัก เริ่มตั้งแต่อายุแรกเกิดจนถึง 3 ขวบ จะใช้สัญชาตญาณการเรียนรู้แบบรูปภาพเป็นตัวดำเนินการคิด ซึ่งหมายความว่า สิ่งต่างๆ ที่เห็นหรือได้ยินแค่เพียงครั้งเดียวก็จะถูกจดจำและสร้างขึ้นใหม่เป็นรูปภาพในความรู้สึกนึกคิดได้

หลังจากนั้นเมื่ออายุ 3 ขวบขึ้นไป ความนึกคิดเชิงตรรกะและเชิงภาษาจะเริ่มมีบทบาทมากขึ้น สมองที่ทำหน้าที่หลักจะเปลี่ยนจากซีกขวาเป็นซีกซ้าย และเมื่ออายุได้ 6 ขวบ กระบวนการความคิดจะเปลี่ยนเป็นความนึกคิดเชิงภาษาเป็นหลัก นี่คือเหตุผลว่าทำไมความสามารถในการเรียนรู้ของผู้ใหญ่จึงมีขีดจำกัดมาก

เมื่อเห็นถึงจุดเด่นของการเรียนแบบชิจิดะแล้ว วรมนจึงหารือร่วมกับเพื่อนๆ อยากให้มีโรงเรียนประเภทนี้เปิดในเมืองไทยบ้าง โดยเริ่มติดต่อซื้อแฟรนไชส์จากญี่ปุ่น ใช้เวลาเกือบ 2 ปีกว่าจะได้ข้อสรุปและเริ่มบริหารจัดการ จนเปิดสาขาแรกที่สุขุมวิท เมื่อปี 2552

การเปิดชิจิดะในไทยไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากหลักสูตรต่างๆ เป็นของชาวญี่ปุ่น การนำมาสอนให้กับเด็กไทยต้องปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกัน โดยเฉพาะเรื่องของภาษาและวัฒธรรมความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน เพราะเนื้อหาของการสอนจะนำเอาสิ่งรอบๆ ตัวในชีวิตประจำวันมาสอนผ่านการเล่าเรื่อง โดยมีวัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอนบางอย่างต้องนำเข้าจากญี่ปุ่น เช่น บัตรภาพสัญลักษณ์ เพื่อฝึกให้เด็กนับเลข หรือจดจำกับรูปสัตว์ต่างๆ

ส่วนครูผู้สอนเป็นคนไทย รับสมัครจากผู้สนใจ กำหนดคุณสมบัติจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งจะสอบสัมภาษณ์เพื่อสังเกตบุคลิกและนิสัยใจคอ หลังจากนั้นจะส่งไปฝึกอบรมวิธีการสอนแบบชิจิดะ ซึ่งมีทั้งอบรมในไทยและส่งไปอบรมที่ญี่ปุ่น จนปัจจุบันมีครูทั้งหมด 10 คน รองรับการเปิดโรงเรียน 2 แห่ง

ด้านหลักสูตรการเรียนของชิจิดะ รับสมัครตั้งแต่เด็กอายุ 6 เดือนจนถึง 6 ปี เรียนแต่ละครั้งใช้เวลา 50 นาทีต่อวันต่อสัปดาห์ ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่โรงเรียนกำหนดไว้ เป็นการสอนเพื่อกระตุ้นสมองทั้งซีกซ้ายและขวาโดยวิธีเฉพาะ ฝึกให้ใช้เชาวน์ปัญญา แก้ไขโจทย์ที่ไม่ยากเกินไป สอนวิชาคณิตศาสตร์ ในขณะที่การเรียนสัปดาห์ต่อไป หัวข้อการสอนจะคล้ายกับสัปดาห์ก่อนแต่จะเพิ่มเนื้อหาให้มากขึ้น

แต่ละห้องเรียนรับนักเรียนไม่เกิน 6 คน อยู่ในระดับอายุเท่ากัน หรือห่างกันไม่เกิน 12 เดือน

สนนราคาค่าใช้จ่ายในการเรียน แบ่งเป็น 3 คอร์ส คือ เรียน 10 ครั้ง จ่าย 1 หมื่นบาท เรียน 30 ครั้ง จ่าย 2.7 หมื่นบาท และ 50 ครั้ง จ่าย 3.9 หมื่นบาท โดยมีค่าสมาชิกชำระครั้งแรก 3,500 บาท

วรมน กล่าวว่า หลักสูตรการสอนจะปรับเป็นระยะๆ เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ในปัจจุบันตลอดเวลา อาศัยสิ่งรอบตัวที่น่าสนใจนำมาปรับเปลี่ยน การปรับแต่ละครั้งจะต้องแจ้งให้ทางชิจิดะที่ญี่ปุ่นได้รับทราบและอนุมัติก่อนที่จะนำมาสอนจริง ดังนั้นการเรียนชิจิดะจะไม่เหมือนการเรียนพิเศษทั่วไป

แต่ละกิจกรรมจะมีความต่อเนื่อง นำเอาสิ่งรอบตัวที่คุณครูแต่ละท่านนำมาบอกเล่าผ่านอุปกรณ์การสอน เช่น เมื่อเราหยิบหุ่นกระบอกขึ้นมาคุย เล่าให้เด็กฟังก็จะมีจุดมุ่งหมายในสนทนา เป็นการวอร์มสายตา กระตุ้นสมอง แต่ที่แตกต่างจากการเรียนที่อื่นคือ การเรียนแต่ละครั้งจะต้องมีผู้ปกครองเข้าร่วมชั้นเรียนด้วย เพื่อให้เด็กมีความอุ่นใจ เมื่อมีคนที่รักอยู่ด้วย จะทำให้มีความตั้งใจเรียนมากขึ้น

สำหรับเป้าหมายของชิจิดะในอนาคต จากการเปิดสอนในเมืองไทยมากว่า 1 ปี ถือว่าได้รับการต้อนรับอย่างดี มีนักเรียน 200 กว่าคน จึงมองว่าสถาบันนี้มีโอกาสเติบโตได้อีกในระบบการศึกษาไทย

ขณะที่การขยายสาขา วรมนตั้งใจจะเปิดเพิ่มในส่วนพื้นที่รอบกรุงเทพฯ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 2 สาขา คือ สุขุมวิท และเซ็นทรัลเวิลด์ โดยสนใจที่เปิดที่ย่านปิ่นเกล้า หรือพระราม 3 ส่วนสาขาต่างจังหวัด คงต้องอาศัยระยะเวลาก่อน แต่ถ้ามีโอกาสตั้งใจจะเปิดที่เชียงใหม่หรือภูเก็ต เพราะเริ่มมีการสอบถามเข้ามา เพียงแต่รอให้มีความพร้อมมากกว่านี้ก่อน เนื่องจากต้องการให้การเปิดสอนแบบชิจิดะจะต้องเข้มงวดในเรื่องมาตรฐาน

การเปิดสาขาใหม่ๆ มองไว้ทั้งการใช้เงินลงทุนส่วนตัว และการหาพันธมิตรแบบแฟรนไชส์ ซึ่งเงินลงทุนแต่ละแห่งจะอยู่ที่ประมาณ 6 ล้านบาท ในช่วงแรกคงต้องใช้เงินลงทุนเองไปก่อน ส่วนการขายแฟรนไชส์คงต้องพิจารณาตามความเหมาะสมด้วย เพราะยังไม่ได้กำหนดเงื่อนไขการลงทุนที่ชัดเจน ก่อนหน้านี้มีคนติดต่อเหมือนกัน แต่ตอนนั้นยังไม่พร้อม

ในอนาคตอันใกล้ วรมน บอกว่า กำลังศึกษาช่องทางเพิ่มหลักสูตรสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ซึ่งอยู่ระหว่างประสานงานกับชิจิดะที่ญี่ปุ่น เนื่องจากมีเป้าหมายอยากให้เด็กได้รับการพัฒนาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา

ใครสนใจส่งบุตรหลานไปเรียน สอบถามรายละเอียดได้ที่โทร. 026621510

ข่าวล่าสุด

ครม. ทบทวน EV3 เพิ่มความยืดหยุ่น หนุนไทยสู่ฐานผลิต EV โลก