posttoday

โฆษณากับภาษี

29 กรกฎาคม 2554

ธุรกิจโฆษณาเป็นธุรกิจหนึ่งที่บริษัท ห้างร้าน ผู้ประกอบการ หน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ

ธุรกิจโฆษณาเป็นธุรกิจหนึ่งที่บริษัท ห้างร้าน ผู้ประกอบการ หน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ

ใช้บริการโฆษณากันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพื่อเป็นสื่อกลางให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารหรือเชิญชวนให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าหรือใช้บริการ ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าการโฆษณาหรือการประชาสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญทีเดียว การโฆษณามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตประจำวันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการขายสินค้าหรือการให้บริการ

การโฆษณาหรือการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทีวีนั้นจะเสียค่าใช้จ่ายมาก หากโฆษณาในช่วงเวลาค่ำ แต่ก็คุ้มค่า เพราะโฆษณาออกทีวีบ่อยๆ ก็สามารถทำให้ขายสินค้าราคาแพงได้เยอะ ทั้งๆ ที่สินค้าก็ไม่ดีไปกว่ารายอื่นเท่าใดนัก พูดง่ายๆ ว่าโฆษณาเกินจริง ถูกร้องเรียนไปหลายราย

การโฆษณาอาจจะผ่านสื่อทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ ป้ายโฆษณา เว็บไซต์ โทรศัพท์มือถือ สติกเกอร์ติดรถยนต์ ใช้คนเดินถือป้ายโฆษณา และสื่ออื่นๆอีกมากมี

ค่าจ้างจากการรับโฆษณา เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร

วันนี้มาดูกันว่าผู้รับจ้างโฆษณาและผู้ว่าจ้างโฆษณา มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย หรือเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างไร สรุปได้ดังนี้

ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย

ผู้ว่าจ้างโฆษณาที่เป็นบริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น เมื่อจ่ายเงินค่าจ้างโฆษณาให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโฆษณาที่เป็นบุคคลธรรมดาหรือผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือจ่ายเงินค่าจ้างโฆษณาให้แก่บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 2 ของเงินได้ที่จ่าย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทั้งนี้ ให้นำส่งภาษีได้ตั้งแต่วันที่ 17 ของเดือนถัดไปจากเดือนที่จ่ายเงินค่าจ้างโฆษณา หากสังเกตจะพบว่าผู้ที่มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายเงินค่าจ้างโฆษณาจะเป็นบริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่นเท่านั้น

กรณีจ่ายเงินค่าจ้างโฆษณาให้แก่บริษัทที่อยู่ในต่างประเทศ ผู้ว่าจ้างโฆษณาไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย

หน่วยงานรัฐหรือองค์การของรัฐจ่ายเงินค่าจ้างโฆษณาให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโฆษณาทุกราย ไม่ว่าจะประกอบการในประเทศหรือนอกประเทศ ให้หักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 1

ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ผู้ประกอบธุรกิจโฆษณาที่เป็นบริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ห้างร้าน หรือบุคคลธรรมดา หากมีรายรับเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีต่อรอบระยะเวลาบัญชี ต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อรับเงินค่าจ้างโฆษณาต้องออกใบกำกับภาษีเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 (รวมภาษีที่จัดเก็บให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) หากเป็นผู้ประกอบธุรกิจโฆษณาที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็คงออกเพียงหลักฐานการรับชำระเงินเท่านั้น

กรณีที่ได้ว่าจ้างโฆษณากับบริษัทหรือผู้ประกอบการโฆษณาที่อยู่ในต่างประเทศ หากได้นำผลของการโฆษณานั้นมาใช้ในประเทศไทย ผู้จ่ายเงินทุกรายที่จ่ายเงินค่าจ้างโฆษณาต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) โดยนำส่งภาษีได้ตั้งแต่วันที่ 1-7 ของเดือนถัดไปจากเดือนที่จ่ายเงินค่าจ้างโฆษณา ภาษีมูลค่าเพิ่มที่นำส่งกรมสรรพากรถือเป็นภาษีซื้อของผู้ว่าจ้างโฆษณาในเดือนที่นำส่งภาษีให้กรมสรรพากร

ผู้รับจ้างโฆษณาและผู้ว่าจ้างโฆษณามีภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่มมาเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง คงทราบในเบื้องต้นแล้ว สวัสดีครับ

 

ข่าวล่าสุด

บอร์ดเคาะแล้ว “ทรงพล” MD ออมสินคนใหม่ รอชัดอำนาจรักษาการเซ็นได้หรือไม่