นโยบายของภาครัฐกับการเกิด Crowding-Out Effect
ผ่านพ้นฤดูกาลเลือกตั้งไปแล้ว สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ คนไทยทั้งหลายคงได้แต่นั่งรอ
ผ่านพ้นฤดูกาลเลือกตั้งไปแล้ว สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ คนไทยทั้งหลายคงได้แต่นั่งรอ
โดย..รุ่งนภา เสถียรนุกูล
การดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่กำลังจะจัดตั้งขึ้นมา ว่าจะสามารถทำตามร่างนโยบายที่ได้หาเสียงได้ไว้หรือไม่ นโยบายเร่งด่วนหลักๆ ที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการนั้น ยังคงเน้นไปที่นโยบายประชานิยม กระจายรายได้ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เป็นชนชั้นกลาง กรรมกรผู้ใช้แรงงาน และกลุ่มรากหญ้าที่เป็นเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท การปรับเงินเดือนข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ สำหรับผู้จบปริญญาตรีให้มีเงินเดือนเริ่มต้น 1.5 หมื่นบาทต่อเดือน และลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เป็น 23% โดยนำเงินที่ได้จากการประหยัดภาษีไปจ่ายเป็นค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้น
หลังจากที่ได้ฟังนโยบายที่รัฐบาลกำลังจะดำเนินการนั้น หลายๆ คนคงกำลังสงสัยว่ารัฐบาลจะนำเงินมาจากส่วนใดในการนำมาใช้ในการดำเนินนโยบาย และสำหรับนักเศรษฐศาสตร์ หรือคนที่เคยเรียนทางเศรษฐศาสตร์ อาจทำให้นึกถึงคำคำหนึ่งขึ้นมา คือ คำว่า Crowding–Out Effect ถ้าจะอธิบายอย่างง่ายๆ ในภาษาชาวบ้าน Crowding–Out Effect คือ การที่ภาครัฐบาลมีการอัดฉีดเงินผ่านการใช้จ่ายเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ แต่ผลที่ได้ออกมานั้น GDP ของประเทศไม่สามารถที่จะเพิ่มขึ้นได้ และกลับส่งผลลบต่อภาคเศรษฐกิจ ทั้งในด้านของผู้บริโภคและภาคเอกชนที่เป็นผู้ผลิต
รายได้หลักๆ ของรัฐบาลที่จะนำเงินมาใช้จ่ายมาจากเงินภาษีของประชาชน ดังนั้นยิ่งโครงการของรัฐบาลต้องใช้เงินทุนมากเท่าไหร่จะต้องใช้เงินภาษีมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้ารัฐบาลไม่อยากจัดเก็บภาษีกับประชาชนเพิ่มขึ้น รัฐบาลอาจจะหาเงินมาจากการกู้ยืมเงินจากตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการออกพันธบัตร หรือการกู้ยืมในต่างประเทศ กรณีที่รัฐบาลจะต้องกู้ยืมเงินให้พอกับงบประมาณการใช้จ่ายนั้นถ้าสภาพคล่องในระบบการเงินยังมีมากอยู่ อาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาคเอกชนมากนัก แต่ถ้าสภาพคล่องเริ่มลดน้อยลง การกู้ยืมเงินของภาครัฐ จะเป็นเหมือนกับการไปแย่งเงินลงทุนของภาคเอกชน ส่งผลทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินปรับตัวสูงขึ้น ในที่สุดแล้วจะกระทบต่อต้นทุนในการลงทุนของภาคเอกชน ทำให้มีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนอาจจะต้องลดการลงทุนลงและส่งผลทางลบต่อเศรษฐกิจโดยรวมได้
สิ่งที่อยากเตือนนักลงทุนเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง คือ การลงทุนของภาครัฐ ไม่จำเป็นว่าทุกครั้งจะทำให้เกิดการขยายตัวของภาคเศรษฐกิจเสมอไป ในบางครั้งอาจจะก่อให้เกิดผลกระทบทางลบขึ้นมาแทนที่ได้ ขึ้นกับว่าการลงทุนของภาครัฐมุ่งเน้นไปที่สิ่งใด ถ้าเป็นการลงทุนเพื่อสร้างให้เกิดการลงทุนต่อของภาคเอกชน หรือก่อให้เกิดการจ้างงานและการบริโภคเพิ่มขึ้นหรือไม่ ถ้าวิเคราะห์แล้วใช่ การลงทุนของภาครัฐนั้นเป็นการลงทุนที่ดี ที่ก่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
สิ่งที่ทุกคนไม่ควรที่จะประมาท คือ ถึงแม้ว่านโยบายของรัฐบาลต้องการเน้นไปยังการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้คนมีรายได้เพิ่มขึ้น ให้คนรู้สึกมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น จะได้นำเงินไปใช้ในการจับจ่ายซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ทุกคนจะต้องตระหนักถึง คือ เราควรที่จะมีการจัดสรรเงินส่วนหนึ่งสำหรับการออมและการลงทุน เนื่องจากอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นการเงินออมไว้ใช้ในยามฉุกเฉินจึงเป็นสิ่งที่เราควรจะต้องทำไว้และไม่ประมาท การออมนั้นอาจจะอยู่ในรูปแบบของการฝากเงินไว้ที่ธนาคาร หรือไม่ก็อาจจะเป็นการลงทุนทางตรง เช่น การซื้อพันธบัตร หุ้นกู้ หุ้น ซื้อที่ดินหรืออาจจะซื้อทองคำเก็บไว้ แต่ถ้าไม่มีเวลาและไม่เข้าใจในการลงทุนที่ดีนัก การลงทุนในกองทุนรวมถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากปัจจุบันมีกองทุนให้เลือกซื้อหลากหลาย เหมาะสมกับความเสี่ยงและวัตถุประสงค์ในการลงทุนของนักลงทุนแต่ละคน พร้อมกันนั้นกองทุนรวมมีกลุ่มบุคลากรที่เชี่ยวชาญทำหน้าที่การลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันความเสี่ยงโดยรวมก็ลดลงด้วยเพราะมีการกระจายการลงทุนที่ดีกว่าการลงทุนทางตรงของการลงทุน
สุดท้าย สิ่งที่นักลงทุนจะต้องท่องเตือนใจไว้ คือ การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ก่อนที่จะนำเงินออมไปลงทุนอะไร ควรที่จะทำการศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน


