ย้อนรอย "พฤษภาทมิฬ" มนต์การเมืองเสียสัตย์เพื่อชาติ วาทะกรรมเคล้าน้ำตา
ย้อนรอย "พฤษภาทมิฬ 2535" สามทศวรรษบนบาดแผลราชดำเนิน "เสียสัตย์เพื่อชาติ" วาทะกรรมเคล้าน้ำตา แม้ผ่านมา 33 ปี ยังสะท้อนเงาการเมืองไทย
กว่าสามทศวรรษผ่านไป... แต่ภาพความทรงจำของเดือนพฤษภาคม ปี 2535 ยังคงติดตาคนไทยหลายคน ถนนราชดำเนินที่เคยเป็นเส้นทางแห่งประชาธิปไตย กลับกลายเป็นพื้นที่นองเลือด
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ตอกย้ำราคาแพงลิบลิ่วของการละเลยหลักการพื้นฐานแห่งอำนาจของประชาชน
เหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" ไม่ใช่แค่หน้าประวัติศาสตร์ที่ต้องจดจำ แต่เป็นบาดแผลที่ยังคงทิ้งร่องรอย และเป็นอุทาหรณ์ดังลั่นเตือนเราว่าประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และการแก้ปัญหาอย่างสันติ สำคัญขนาดไหน
ในวาระครบรอบ 33 ปี พฤษภาทมิฬ เรามาย้อนดูเรื่องราวเบื้องหลัง และคำถามสำคัญที่ยังก้องกังวาน
ประเทศไทยเรียนรู้อะไรจากพฤษภาทมิฬ? และเราก้าวไปข้างหน้าบนเส้นทางประชาธิปไตยมากน้อยแค่ไหน?
เปลวไฟใต้รัฐธรรมนูญ: ต้นตอของความขัดแย้ง
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นก่อนหน้านั้นเกือบปี ในเดือนกุมภาพันธ์ 2534 เมื่อคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) นำโดย พล.อ. สุนทร คงสมพงษ์ และมี พล.อ. สุจินดา คราประยูร เป็นกำลังสำคัญ ได้ทำการรัฐประหารรัฐบาล พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ โดยอ้างเหตุผลเรื่องการทุจริต
ในช่วงแรก หลายคนอาจจะโล่งใจและมีความหวังเล็กๆ เมื่อ รสช. เลือกนายอานันท์ ปันยารชุน มานั่งเก้าอี้นายกฯ
แต่ภาพสวยงามนี้อยู่ได้ไม่นาน เมื่อความตั้งใจที่แท้จริงของคณะรัฐประหารเริ่มปรากฏชัด พวกเขาต้องการ "สืบทอดอำนาจ"
ชนวนสำคัญอยู่ที่ "รัฐธรรมนูญ" ฉบับใหม่ ที่ร่างโดยคณะกรรมาธิการที่ รสช. แต่งตั้งขึ้น รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกวิจารณ์หนักว่า "ไม่เป็นประชาธิปไตย"
เพราะอะไร? เพราะมันเปิดช่องให้คนไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้
ความกังวลนี้พุ่งถึงขีดสุด หลังการเลือกตั้งใหญ่เดือนมีนาคม 2535 เมื่อพรรคสามัคคีธรรมที่สนับสนุนโดย รสช. ได้รับเสียงข้างมาก
และแล้ว ภาพที่ประชาชนกลัวก็เกิดขึ้นจริง พล.อ. สุจินดา คราประยูร ซึ่งเคยประกาศอย่างชัดเจนว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกฯ กลับได้รับการเสนอชื่อและได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีในเดือนเมษายน 2535
ไม่เพียงแต่เป็นการกลืนน้ำลายตัวเองเท่านั้น วาทะกรรม “เสียสัตย์เพื่อชาติ” จากปาก พล.อ. สุจินดา ยังเป็นการ ตอกย้ำเจตนาสืบทอดอำนาจ ของคณะรัฐประหารอย่างโจ่งแจ้ง
“เสียสัตย์เพื่อชาติ” จุดชนวน "ม็อบมือถือ"
วาทะกรรม “เสียสัตย์เพื่อชาติ” ของ พล.อ. สุจินดา คือฟางเส้นสุดท้ายที่จุดประกายความโกรธแค้น ประชาชนหลากหลายกลุ่มเริ่มรวมตัวกันประท้วง
โดยมีบุคคลสำคัญอย่าง เรือตรี ฉลาด วรฉัตร เริ่มต้นด้วยการอดอาหารประท้วงคนแรก ก่อนที่ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ในขณะนั้น จะเข้าร่วมอดอาหารด้วย ยิ่งทำให้กระแสต่อต้านขยายวงกว้าง
ที่น่าสนใจคือ ม็อบครั้งนี้ แตกต่างออกไป ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ไม่ใช่แค่กลุ่มนักศึกษา แต่คือ ชนชั้นกลางในเมือง นักธุรกิจ และคนวัยทำงาน ที่รู้สึกว่าอำนาจอธิปไตยของพวกเขาถูกปล้นไปต่อหน้าต่อตา
และนี่คือครั้งแรกๆ ที่เทคโนโลยี เข้ามามีบทบาทสำคัญ! "โทรศัพท์มือถือ" ที่เพิ่งเริ่มแพร่หลายในไทยกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารและนัดหมายของผู้ชุมนุม ทำให้เหตุการณ์นี้ถูกเรียกอีกชื่อว่า "ม็อบมือถือ"
แสดงให้เห็นว่าแม้แต่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
ราชดำเนินอาบเลือด เซ่นพฤษภาทมิฬ 2535
การประท้วงต่อต้าน พล.อ. สุจินดา ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 17 พฤษภาคม 2535
มวลชนเรือนแสนหลั่งไหลมารวมตัวกันที่ท้องสนามหลวง ก่อนจะเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องให้นายกฯ ที่ “เสียสัตย์เพื่อชาติ” ลาออก
แต่ขบวนผู้ชุมนุมถูกสกัดกั้นด้วยลวดหนามและกำลังเจ้าหน้าที่ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ และในคืนเดียวกันนั้นเอง
รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ. สุจินดา ก็ตัดสินใจใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด... สั่งสลายการชุมนุมด้วยกำลังทหารและตำรวจ พร้อมอาวุธครบมือ
การปราบปรามเป็นไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง มีการใช้ กระสุนจริง ยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ส่วนใหญ่ยังคงชุมนุมอย่างสงบ
ภาพความรุนแรง การปะทะนองเลือด ยังคงดำเนินต่อเนื่องในวันที่ 18 และ 19 พฤษภาคม มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และสูญหายจำนวนมาก
สื่อต่างประเทศหลายสำนักประโคมข่าวและภาพความโหดร้ายที่เกิดขึ้น ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับข้อมูลที่ถูกควบคุมและนำเสนอโดยสื่อของรัฐบาลในขณะนั้น
สถานการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุด เหมือนประเทศกำลังเดินเข้าสู่หายนะ แต่แล้ว... จุดเปลี่ยนสำคัญ ก็มาถึง
ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2535 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวง ร.9) ได้ทรงมี พระราชดำรัส
เรียกให้ พล.อ. สุจินดา คราประยูร และ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าฯ และทรงขอให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ยุติความรุนแรง
พระราชดำรัสนี้เป็นเหมือนสายน้ำที่ดับไฟความขัดแย้งที่กำลังลุกโชน ทั้งฝ่ายรัฐบาลและผู้ชุมนุมต่างตอบสนอง และนำไปสู่การยุติการปราบปรามในที่สุด
แม้ความรุนแรงจะสงบลง แต่บาดแผลยังคงอยู่ ตัวเลขผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บยังเป็นที่ถกเถียงกัน
ตัวเลขทางการบอกอย่างหนึ่ง แต่ตัวเลขที่ไม่เป็นทางการนั้นสูงกว่ามาก ไหนจะผู้บาดเจ็บและผู้สูญหายอีกจำนวนนับไม่ถ้วน พฤษภาทมิฬทิ้งรอยแผลลึกไว้ในใจคนไทยทั้งประเทศ
จากบาดแผล สู่ "รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน"
ผลลัพธ์โดยตรงที่สุดของเหตุการณ์พฤษภาทมิฬคือ การที่ พล.อ. สุจินดา คราประยูร ต้อง ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2535
หลังการลาออก นายอานันท์ ปันยารชุน กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการอีกครั้ง เพื่อนำพาประเทศไปสู่การเลือกตั้งใหม่ในเดือนกันยายนปีเดียวกัน
แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ แรงผลักดันมหาศาลที่พฤษภาทมิฬสร้างขึ้น เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการร่าง รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในฉบับที่มีความเป็น ประชาธิปไตยมากที่สุด ของไทย ถูกออกแบบมาเพื่อ ปิดช่องรัฐประหาร เสริมสร้าง สิทธิเสรีภาพของประชาชน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
สร้างระบบ ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ และเพิ่มเสถียรภาพให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง นี่คือความหวังครั้งใหม่ที่เกิดขึ้นจากเถ้าถ่านของความรุนแรง
อย่างไรก็ตาม... แม้จะมีรัฐธรรมนูญ 2540 ที่งดงาม และการตื่นตัวของประชาชน แต่ บทบาทของทหารในการเมืองไทย ก็ยังคงเป็นเงาตามหลอน
แม้รัฐธรรมนูญจะพยายามจำกัดบทบาทนี้ แต่สุดท้าย ประเทศไทยก็ยังคงวนกลับมาเผชิญหน้ากับการ รัฐประหารอีกหลายครั้ง ในปี 2549 และ 2557
สามทศวรรษบนทางสองแพร่ง
เมื่อมองย้อนกลับไป 33 ปีหลังพฤษภาทมิฬ ประเทศไทยเหมือนกำลังยืนอยู่บนทางสองแพร่ง
เรามีช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง เช่น ยุคของรัฐธรรมนูญ 2540 แต่เราก็ยังเผชิญกับการถอยหลังครั้งใหญ่จากการรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ความแตกแยกทางความคิดยังคงอยู่ การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมยังคงเป็นความท้าทาย และปัญหา "คนผิดลอยนวล" ก็ยังคงเป็นประเด็นที่สังคมตั้งคำถาม
เอาละ...ทีนี้ 33 ปี มันก็ปาเข้าไปสามทศวรรษกับอีกสามขวบปี แต่ดูเอาเถอะว่า เรายังต้องมานั่งแคะคุ้ยเรื่องราวของเดือนพฤษภาฯ 35 เหมือนหนังม้วนเก่าที่ฉายซ้ำไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
สิ่งที่เคยเรียกร้อง โวยวายกันวันนั้น มันก็ยังเป็นเรื่องเดียวกัน เรื่องเดิมๆ เพียงแต่เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาคนพูดไปบ้างเท่านั้นเอง อาจจะสวมเสื้อผ้าใหม่ ดูทันสมัยขึ้นหน่อย แต่เนื้อในยังเป็นเรื่องเก่า
ส่วนสภาพการณ์บ้านเมืองวันนี้ ดูเหมือนจะไม่ได้ขยับไปไหนไกลนัก ทีนี้โจทย์ก็มาตกอยู่ตรงหน้ากองซากอารยธรรมที่เราเห็นอยู่ทนโท่
ในวาระที่ต้องรำลึกถึงบาดแผลเหวอะหวะของพฤษภาฯ 35 จากบทเรียนที่เจ็บปวดครั้งนั้น เราจะหยิบยกเอาอะไรขึ้นมาใช้ เพื่อแต่งแต้มหรือสร้างสรรค์วันข้างหน้าของประเทศนี้ให้มันดูดีขึ้นมาบ้าง?
นี่แหละ... คือความท้าทาย ที่ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง


