สรุปผลงาน 100 วันแรก "สไตล์ทรัมป์" วาระ 2 เงินเฟ้อกระจุย เงินไหลออกกระจาย
สรุปผลงาน 100 วันแรก "สไตล์ทรัมป์" วาระ 2 แหกขนบสุดซอย! เงินเฟ้อกระจุย เงินไหลออกกระจาย
เราอาจเคยได้ยินคำว่า "Shock and Awe" ในบริบททางการทหาร ที่หมายถึงการแสดงแสนยานุภาพเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว เด็ดขาด เพื่อข่มขวัญและสร้างความตื่นตระหนกไม่ให้ข้าศึกกลับมาต่อต้านอีก
แต่ในช่วง 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของโดนัลด์ ทรัมป์ คำว่า "Shock and Awe" กลับถูกหยิบยกขึ้นมาใช้ในอีกแง่มุมหนึ่ง
นั่นคือการสร้าง "ความตกตะลึง" (Shock) ให้กับระบบการค้าในระดับโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งประเทศพันธมิตรไปจนถึงกลไกภายในรัฐบาลสหรัฐฯ เอง จากการแสดงแสนยานุภาพประกาศเก็บ “ภาษีตอบโต้” แบบหุนหัน ฉับพลัน
ยุทธวิถีสร้างความตกตะลึง ดูจะได้ผลกับทั้งโลกอยู่ไม่น้อย แต่ในแง่ความ "น่าทึ่ง" (Awe) ของผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม หรือการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดูเหมือนจะหลายเป็นสิ่งที่ขาดหายไป
ย้อนรอย 100 วันแรกของทรัมป์ในวาระที่ 2
รายงานจากสำนักข่าว CNBC ระบุว่า ทรัมป์ดำเนินนโยบายที่รุนแรงและกะทันหัน สร้างความสั่นคลอนให้กับความสัมพันธ์ทางการค้าและประเทศพันธมิตรที่เคยมีมายาวนาน
ด้วยการประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ชุดใหม่อย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ตลาดและนักธุรกิจหลายฝ่ายเผชิญกับความวุ่นวายและความไม่แน่นอน
- เงินเฟ้อสหรัฐฯ ต้องจับตา: ภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าสูงขึ้น ปัจจัยนี้กำลังกดดันให้ต้องกลับมาทบทวนมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่เคยมองไว้
- มิตรภาพสั่นคลอน: การแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อพันธมิตรเก่าแก่อย่างแคนาดา รวมถึงการแสดงความกังขาต่อความจำเป็นของ NATO ได้ บั่นทอน ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่สั่งสมมาหลายทศวรรษ
- ดีลการค้ายังไร้วี่แวว: แม้จะสร้างความปั่นป่วนอย่างทั่วถึงขนาดนี้ แต่ในช่วง 100 วันแรก กลับยังไม่มีข้อตกลงทางการค้าใหญ่ๆ ที่สรุปได้เป็นรูปธรรม แม้ทรัมป์จะเคยกล่าวอ้างว่าทำสำเร็จไปแล้วถึง "200 ดีล" (แต่ทั้งโลกมีแค่ 195 ประเทศ)
- จีนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย: ในประเด็นสงครามการค้า จีนยังคงมีท่าทีแข็งกร้าวและท้าทายต่อมาตรการของสหรัฐฯ
สรุปคือ 100 วันแรกของทรัมป์อาจจารึกลงในประวัติศาสตร์ได้จริง แต่ไม่ใช่ในแง่ที่สร้างความ "ทึ่ง" หรือได้ผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม
แล้วในช่วงเวลาแห่งความโกลาหล โลกปั่นป่วนในครั้งนี้ มีประเด็นไหนน่าจับตาบ้าง? เราลองมาดูกันเป็นข้อๆ ตามข้อมูลจาก CNBC
- ดีลการค้าสหรัฐฯ-อินเดีย ใกล้สำเร็จ? ทรัมป์ออกมาส่งสัญญาณเชิงบวกด้วยตัวเองว่า การเจรจาเรื่องภาษีกับอินเดียนั้น "ไปได้สวย" และเชื่อว่าใกล้จะได้ข้อตกลงกันแล้ว ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เคยให้ข้อมูลไว้ก่อนหน้า (จริงเท็จแค่ไหน คงต้องจับตาดูความคืบหน้ากันต่อไป)
- ผ่อนปรนภาษีรถยนต์นำเข้าบางส่วน: หลังผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรถยนต์ส่งเสียงโอดครวญถึงเรื่องต้นทุนจากมาตรการภาษี ล่าสุด ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งผ่อนปรนภาษีรถยนต์นำเข้าบางส่วน เพื่อบรรเทาปัญหา "ภาษีทับซ้อน" หรือ "ภาษีซ้ำซ้อน" ที่เกิดขึ้นจากการนำภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมมาบวกเพิ่มเข้าไปในภาษีรถยนต์อีกชั้น อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีรถยนต์หลักที่ 25% ยังคงมีผลบังคับใช้
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับเชิงบวก: ท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ดูจะผ่อนคลายความตึงเครียดลงบ้าง ประกอบกับข่าวดีเรื่องความคืบหน้าของข้อตกลงทางการค้า (ตามที่ทำเนียบขาวระบุ) ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับเป็นสัปดาห์ที่ดีของดัชนีหลักทั้ง Dow Jones, S&P 500 และ Nasdaq ในขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียยังคงเคลื่อนไหวแบบผสมผสาน
- ภาคการผลิตจีนชะลอตัวชัดเจน: ผลกระทบจากสงครามการค้าเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้น จากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนในเดือนเมษายนที่ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 50 เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนกำลังเข้าสู่ภาวะ "หดตัว" และสะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในหมู่ผู้ประกอบการจีน
- Amazon ถอยทัพ หลังมีข่าวทรัมป์สายตรงถึงเบโซ: เหตุการณ์นี้สร้างความฮือฮาในวงการธุรกิจ เมื่อมีรายงานข่าวจาก BBC ว่า Amazon กำลังพิจารณาที่จะแสดงให้ลูกค้าเห็นถึงต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการของรัฐบาลบนหน้าสินค้า แต่จู่ๆ แผนดังกล่าวก็ถูกยกเลิกไปอย่างกระทันหัน หลังมีรายงานว่าทรัมป์ต่อสายตรงตรงถึง เจฟฟ์ เบโซ เพื่อแสดงความไม่พอใจในเรื่องนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการแทรกแซงโดยตรงที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางธุรกิจของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่
- จับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชี้ทิศทาง: รายงานตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่กำลังจะประกาศในเร็วๆ นี้ จะเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้ประเมินได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอเพียงใด ก่อนที่จะได้รับผลกระทบเต็มที่จากมาตรการภาษีชุดใหญ่ของทรัมป์ ซึ่งตัวเลขเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
- เงินทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่: มาตรการภาษีของทรัมป์ได้สั่นคลอนสถานะการเป็น "สินทรัพย์ปลอดภัย" ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนเริ่มมองหาทางเลือกอื่น และโยกย้ายเงินทุนบางส่วนเข้าไปลงทุนในพันธบัตรของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรในกลุ่มประเทศเหล่านี้ลดลง (ราคาพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น) ในขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ กลับปรับตัวเพิ่มขึ้น (ราคาพันธบัตรลดลง) ประเทศอย่างเม็กซิโก บราซิล และแอฟริกาใต้ ถูกมองว่ามีความน่าสนใจในการลงทุนมากขึ้น
ข้อมูลข้างต้น คือภาพรวมของ 100 วันแรกในการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ วาระที่ 2 ของทรัมป์ สะท้อนถึงช่วงเวลาแห่งความผันผวนและความไม่แน่นอน ภายใต้รูปแบบการบริหารที่เน้นการสร้างความตื่นตะลึง
แต่ผลลัพธ์ที่ปรากฏกลับยังห่างไกลจากความสำเร็จที่น่าทึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องเร่งปรับตัวอย่างหนัก เพื่อรับมือกับคลื่นความไม่แน่นอนที่ถาโถมเข้ามา
ทั้งนี้ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ วาระที่ 2 ในวันที่ 20 มกราคม 2025 ซึ่งวันที่ 30 เมษายน 2025 ถือเป็นวันครบรอบ 100 วันพอดี สำหรับการเข้ารับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้


