เหตุปล้นทองนราธิวาส: สัญญาณท้าทายกองทัพ–เกมอำนาจใต้เงารัฐ
เหตุปล้นทองกว่า 36 ล้านบาทกลางห้างบิ๊กซีนราธิวาส ไม่ใช่แค่อาชญากรรมทั่วไป แต่คือ “สัญญาณท้าทาย” ต่อกองทัพและรัฐ ท่ามกลางการเปลี่ยนแม่ทัพภาคที่ 4 และการจัดแถวอำนาจใหม่ของเครือข่าย ตท.26
KEY
POINTS
- เหตุปล้นทองบิ๊กซีนราธิวาส เป็นปฏิบัติการอุกอาจที่สะท้อนความล้มเหลวเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ และเป็น “การท้าทายอำนาจ” ของกองทัพไทยโดยตรง
- การเปลี่ยนแม่ทัพภาคที่ 4 และ ผบ.ทบ.คนใหม่ ทำให้เหตุการณ์นี้ถูกมองเป็นการทดสอบขีดความสามารถของผู้นำกองทัพรุ่นใหม่ ในการสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงและการเมือง
- เครือข่าย ตท.26 ที่คุมโครงสร้างกองทัพทั้งระบบ สะท้อนการรวมศูนย์อำนาจทางทหารในยุคใหม่ ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญต่อเส้นทางการเมืองและความมั่นคงของประเทศในอนาคต
เหตุปล้นทอง—อาชญากรรมที่สะเทือนอำนาจรัฐ
เสียงระเบิดหลายจุดดังขึ้นเกือบพร้อมกันในคืนที่ห้างบิ๊กซีนราธิวาสกลายเป็นสมรภูมิชั่วขณะ กลุ่มคนร้ายราว 20 คน แบ่งทีมปฏิบัติการอย่างเป็นระบบ—ทีมหนึ่งปล้นรถกระบะชาวบ้าน 2 คัน อีกทีมบุกเข้ากวาดทองคำกว่า 300 บาทน้ำหนัก คิดเป็นมูลค่ากว่า 36 ล้านบาท ส่วนอีกทีมกระจายตัววางระเบิดตามเสาไฟและซอยชุมชน เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าหน้าที่ ปฏิบัติการนี้กินเวลาเพียงไม่กี่นาที แต่สร้างแรงสั่นสะเทือนยาวไกลถึงศูนย์อำนาจกลางในกรุงเทพฯ
ความอุกอาจของเหตุการณ์ไม่ได้อยู่เพียงมูลค่าความเสียหาย แต่ใน “ยุทธวิธี” ที่คนร้ายใช้ ทั้งการแบ่งกำลัง การวางจุดตัดเส้นทางหลบหนี และการสร้างสถานการณ์แทรกซ้อนทางความมั่นคง เป็นรูปแบบที่คล้าย “ยุทธการพิเศษ” มากกว่าอาชญากรรมทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงบางรายถึงกับระบุว่านี่คือ “การปฏิบัติการเชิงสัญลักษณ์” เพื่อทดสอบศักยภาพของกองทัพไทยในห้วงเปลี่ยนผ่านอำนาจ
ในพื้นที่นราธิวาส เหตุลักษณะนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ครั้งนี้รุนแรงและซับซ้อนกว่าทุกครั้ง ขณะที่รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงยังคงขยายเวลาพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินต่อเนื่องถึงครั้งที่ 81 นับแต่ปี 2548 ซึ่งสะท้อนว่า “โครงสร้างความมั่นคง” ในจังหวัดชายแดนใต้ยังไม่สามารถสลายวงจรความรุนแรงได้อย่างแท้จริง
เหตุปล้นทอง สนามทดสอบแม่ทัพภาค4คนใหม่
จังหวะของเหตุปล้นทองเกิดขึ้นเพียงไม่นานหลังมีคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.นรธิป พลอยนอก (ตท.26) ย้ายจากรองแม่ทัพภาคที่ 2 มารับตำแหน่ง แม่ทัพภาคที่ 4 แทนคนเก่าที่เกษียณราชการ ถือเป็นหนึ่งในตำแหน่งยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดของกองทัพบก เพราะเป็นผู้บัญชาการกองกำลังผสมพลเรือน–ตำรวจ–ทหารในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้
การเข้ารับตำแหน่งในห้วงที่เกิดเหตุสะเทือนขวัญ จึงถูกมองว่าเป็น “บททดสอบแรก” ของแม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ และยังเป็นการส่งสัญญาณถึงผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ว่าการควบคุมสถานการณ์ภาคใต้ยังเป็น “โจทย์ใหญ่ของกองทัพ” ที่ไม่มีวันผ่อนคลาย
กองทัพไทยพยายามใช้แนวทาง “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแบบพัฒนา” (Security & Development) ผ่านโครงการผสมผสานระหว่างงานข่าว งานชุมชน และการพูดคุยสันติสุข แต่เมื่อเกิดเหตุลักษณะ “ปล้นเชิงยุทธวิธี” ขึ้นอีกครั้ง ก็ยิ่งสะท้อนถึงช่องว่างระหว่างนโยบายส่วนกลางกับความจริงในพื้นที่ ว่ากลไกของรัฐยังไม่สามารถทำให้ประชาชนเชื่อมั่นต่ออำนาจรัฐอย่างแท้จริง
กองทัพ–เกมอำนาจใหม่ ตท.26 รวมศูนย์กำลัง
การโยกย้ายระดับสูงของกองทัพบกปีนี้ถูกจับตาอย่างมาก เพราะเป็นการดัน “เตรียมทหารรุ่น 26 (ตท.26)” ขึ้นคุมทุกมิติของอำนาจหลักในกองทัพ ทั้ง พล.อ. ชิษณุพงษ์ รอดศิริ รอง ผบ.ทบ., พล.ท.ณรงค์ฤทธิ์ คัมภีระ ผู้ช่วยผบ.ทบ.,พล.ท.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัด เสนาธิการทหารบก, พล.ต.วีระยุทธ รักษ์ศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2,พล.ต.วรเทพ บุญญะ แม่ทัพภาคที่ 3 และ พล.ต.นรธิป พลอยนอก เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ทำให้โครงสร้างกองทัพในปัจจุบันแทบทั้งหมดอยู่ภายใต้อิทธิพลของรุ่นเดียวกัน
การจัดแถวอำนาจเช่นนี้ทำให้กองทัพถูกมองว่า “รวมศูนย์” อย่างเป็นระบบ ภายใต้การนำของ พล.อ.พนา ซึ่งมีแนวคิดปรับโครงสร้างทหารให้เน้นการข่าว ความคล่องตัว และการเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ ขณะเดียวกันก็ต้องรับแรงกดดันจากฝ่ายการเมืองที่ต้องการให้ “ความมั่นคง” อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐบาลพลเรือนอย่างแท้จริง
เหตุปล้นทองในภาคใต้จึงอาจไม่ใช่เพียงการท้าทายเจ้าหน้าที่ระดับพื้นที่ แต่คือ “บทสอบแรกของกองทัพรุ่นใหม่”ว่าจะสามารถพิสูจน์ความสามารถในการรักษาอำนาจรัฐและศรัทธาประชาชนได้หรือไม่ ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการปรับสมดุล“อำนาจทหาร–อำนาจการเมือง” ภายใต้รัฐบาลใหม่ของนายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งประกาศแนวนโยบาย “กองทัพเพื่อประชาชน”
เหตุปล้นทองนราธิวาสจึงเป็นมากกว่าคดีอาชญากรรม แต่คือ “กระจกสะท้อนอำนาจรัฐ” ในพื้นที่ที่ความมั่นคงยังเปราะบาง ท่ามกลางการเปลี่ยนผู้นำเหล่าทัพและยุทธศาสตร์กองทัพรุ่นใหม่ ที่ต้องพิสูจน์ว่าจะรักษาความสงบได้ด้วยอำนาจหรือศรัทธา


