แม่ค้าสายแฟชั่นต้องรู้! ขายเครื่องประดับอย่างไรไม่ให้พลาดภาษี
ไขข้อข้องใจเรื่องภาษี VAT, ภาษีศุลกากร, และภาษีเงินได้ที่ผู้ประกอบการเครื่องประดับควรรู้เพื่อทำธุรกิจอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
ในยุคที่หลายคนเลือกจะก้าวออกจากการเป็นพนักงานประจำ หันมาสร้างรายได้ด้วยการค้าขายเพื่อให้มีอิสระมากขึ้น การขายของกลายเป็นทางเลือกยอดนิยม เพราะสามารถเลือกขายได้ตามความถนัด ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าหลากหลายแบบครบวงจร หรือเลือกขายเฉพาะสินค้าที่จัดการง่ายและควบคุมต้นทุนได้สะดวก
หนึ่งในสินค้าที่มักถูกมองข้ามคือ “เครื่องประดับ” ซึ่งอาจดูเป็นของเล็กๆ น้อยๆ รายได้ไม่สูงเหมือนสินค้าประเภทอื่น ซึ่งผู้ขายอาจยังไม่แน่ใจว่าต้องเสียภาษีหรือไม่ โดยเฉพาะหากเป็นการนำเข้าเพื่อขายในประเทศ
แต่ไม่ว่าจะเป็นกิจการขนาดเล็กที่เน้นซื้อมาขายไป หรือธุรกิจขนาดใหญ่ที่ผลิตหรือนำเข้าสินค้าเพื่อจำหน่าย รายได้และรายจ่ายทั้งหมดของกิจการยังคงต้องถูกนำมาคำนวณภาษีตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด...
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ผู้ประกอบการที่ขายเครื่องประดับ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล หากมีการซื้อสินค้าหรือวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ จากผู้ขายที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% ตามใบกำกับภาษีที่ผู้ขายออกให้ในแต่ละครั้ง
สำหรับร้านขายเครื่องประดับที่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคลและอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อมีการจ่ายเงินและได้รับใบกำกับภาษีจากคู่ค้าแล้ว จำเป็นต้องเก็บรักษาเอกสารดังกล่าวไว้ใช้ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มประจำเดือน รวมถึงใช้เป็นหลักฐานในการยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลในแต่ละรอบปีบัญชี
นอกจากนี้กิจการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มยังมีหน้าที่ต้องจัดทำรายงานภาษีซื้อ และรายงานสินค้าและวัตถุดิบตามแบบที่กรมสรรพากรกำหนด เพื่อให้สามารถตรวจสอบและยื่นแบบแสดงภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ภาษีศุลกากร
ในบางกรณีกิจการที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องประดับ อาจจำเป็นต้องนำเข้าวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องมือบางประเภทจากต่างประเทศเพื่อใช้ในการดำเนินงาน ซึ่งการนำเข้าสินค้าเหล่านี้ ผู้ประกอบการจะต้องดำเนินการผ่านพิธีการศุลกากรอย่างถูกต้อง โดยมีขั้นตอนเบื้องต้นดังนี้
- ลงทะเบียนระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ (Paperless) ผู้ประกอบการต้องลงทะเบียนเป็นผู้ผ่านพิธีการศุลกากรทางอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ทำเพียงครั้งเดียวก่อนเริ่มดำเนินการนำเข้า
- ดำเนินการผ่านพิธีการนำเข้าและตรวจสอบพิกัดอัตราศุลกากร การนำเข้าสินค้าทุกประเภทต้องมีการระบุพิกัดอัตราภาษีศุลกากรให้ถูกต้อง โดยอัตราภาษีจะแตกต่างกันตามประเภทของสินค้า เช่น
- สินค้าในกลุ่มเครื่องสำอาง หมวก น้ำหอม รองเท้า ผ้าห่ม และร่ม มีอัตราภาษีอยู่ที่ 30%
- สินค้าประเภทกระเป๋า มีอัตราภาษี 20%
- สินค้าอย่างแผ่น CD, DVD, อัลบั้มเพลง, Power Bank, หูฟัง, หูฟังไร้สาย และตุ๊กตา มีอัตราภาษี 10%
- สินค้าประเภทนาฬิกา แว่นตา และแว่นกันแดด มีอัตราภาษี 5%
ทั้งนี้สำหรับสินค้าในหมวดเครื่องประดับและอัญมณีบางประเภท อาจได้รับการยกเว้นอากรขาเข้า ขึ้นอยู่กับพิกัดศุลกากรของสินค้าแต่ละรายการ ดังนั้นควรตรวจสอบข้อมูลกับกรมศุลกากรให้ชัดเจนก่อนดำเนินการนำเข้า
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
หากกิจการที่ดำเนินในรูปแบบนิติบุคคลมีการว่าจ้างพนักงานประจำหรือลูกจ้าง เมื่อจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง หรือโบนัส และรายได้ของพนักงานถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี ผู้ประกอบการมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายจากรายได้ของพนักงานและนำส่งกรมสรรพากรภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป นับจากเดือนที่มีการจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าว
รายได้จากขายเครื่องประดับ ต้องเสียภาษีแบบไหน
ผู้ประกอบการที่ขายเครื่องประดับ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่ขายภายในประเทศหรือส่งออกไปต่างประเทศ ต่างมีหน้าที่ทางภาษีที่ต้องปฏิบัติตามตามลักษณะของกิจการ โดยสามารถจำแนกภาระภาษีที่เกี่ยวข้องได้ ดังนี้
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
หากผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา (ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล) รายได้จากการขายเครื่องประดับจะเข้าข่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) ซึ่งต้องยื่นภาษี 2 รอบ ได้แก่
- ภาษีครึ่งปี (แบบ ภ.ง.ด.94)
ให้รวมรายได้ที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายนของปีภาษีนั้น แล้วยื่นภาษีในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน หรือหากยื่นผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ต้องดำเนินการภายในวันที่ 8 ตุลาคมของทุกปี - ภาษีสิ้นปี (แบบ ภ.ง.ด.90)
ให้รวมรายได้ทั้งปี ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงธันวาคม แล้วดำเนินการยื่นแบบตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคมของปีถัดไป หรือยื่นผ่านระบบออนไลน์ภายในวันที่ 8 เมษายน โดยสามารถนำภาษีที่ชำระไว้ตอนครึ่งปีมาหักออกจากยอดที่ต้องชำระตอนปลายปีได้
2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล
หากกิจการดำเนินในรูปแบบนิติบุคคล (เช่น บริษัทจำกัด) จะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ด้านภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้แก่
- ภาษีครึ่งปี (แบบ ภ.ง.ด.51)
ต้องยื่นและชำระภาษีภายใน 2 เดือน นับจากวันสิ้นสุด 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี - ภาษีสิ้นปี (แบบ ภ.ง.ด.50)
ต้องยื่นแบบและชำระภาษีภายใน 150 วัน นับจากวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี โดยสามารถนำภาษีที่ชำระไว้ตอนครึ่งปีมาหักจากยอดภาษีปลายปีได้
3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
หากกิจการมีรายได้จากการขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และปฏิบัติดังนี้
- เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อ และออกใบกำกับภาษีทุกครั้งที่ขายสินค้า
- จัดทำรายงานภาษีซื้อ ภาษีขาย และรายงานสินค้า/วัตถุดิบ
- ยื่นแบบ ภ.พ.30 ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
ในกรณีที่มีการขายเครื่องประดับเพื่อการส่งออก ภาษีมูลค่าเพิ่มจะใช้อัตรา 0% โดยต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี และยื่นใบขนสินค้าขาออกผ่านระบบศุลกากรแบบไร้เอกสาร (e-Customs) เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย
กล่าวโดยสรุป สำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่กำลังเริ่มต้นขายเครื่องประดับ ควรศึกษารูปแบบการเสียภาษีให้เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจของตนเอง หากดำเนินกิจการในรูปแบบบุคคลธรรมดา โดยไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จะไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และแม้จะมีใบกำกับภาษีจากการซื้อวัสดุหรืออุปกรณ์ต่างๆ ก็ไม่สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้
ในทางกลับกัน หากประกอบธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคล จะมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ในกรณีที่มีการจ่ายค่าบริการบางประเภทตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งหากได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างถูกต้อง ยังสามารถนำภาษีซื้อไปหักกับภาษีขาย ขอคืนภาษี หรือใช้เป็นเครดิตภาษีได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยลดภาระภาษีและเพิ่มประสิทธิภาพทางการเงินของกิจการได้อย่างคุ้มค่า
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ Inflow Accounting


