บีโอไอรื้อเงื่อนไขรถยนต์ไฟฟ้า
บีโอไอพลิกเกม รวมเทคโนโลยีปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ เข้าเงื่อนไขรถยนต์ไฟฟ้า ผู้ผลิตชี้อุตฯ รถดึงอีโคคาร์ 2 รอชัดเจน
บีโอไอพลิกเกม รวมเทคโนโลยีปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ เข้าเงื่อนไขรถยนต์ไฟฟ้า ผู้ผลิตชี้อุตฯ รถดึงอีโคคาร์ 2 รอชัดเจน
แหล่งข่าวจากอุตสาหกรรมยานยนต์ เปิดเผยว่า ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้บรรจุการผลิตเทคโนโลยีไฮบริด ปลั๊ก-อิน ไฮบริด อีโคคาร์ 1 และอีโคคาร์ 2 รวมถึงเทคโนโลยีที่มีมาตรฐานการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) ต่ำ ให้สามารถได้รับสิทธิภายใต้เงื่อนไขการสนับสนุนของรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้เกิดการใช้เทคโนโลยีที่ประหยัดพลังงานและปล่อย Co2 ต่ำ เกิดขึ้นในประเทศไทย
ทั้งนี้ รถยนต์ไฟฟ้าในความหมายของรัฐบาลเวลานี้ หมายรวมถึงรถยนต์ที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ จากเดิมกำหนดเฉพาะให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับการกำหนดให้การพัฒนารถยนต์มีความประหยัดพลังงาน ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
“ในอนาคตรถยนต์ไฟฟ้าจะมีทางเลือกที่หลากหลายทั้ง ปลั๊ก-อิน ไฮบริด (พีเอชอีวี) รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (บีอีวี) ซึ่งผู้บริโภคจะเป็นผู้ตัดสินตลาดว่าอะไรที่เหมาะสมกับประเทศไทย” แหล่งข่าวเปิดเผย
ขณะที่แหล่งข่าวจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ระบุว่า การที่โครงการรถยนต์ประหยัดพลังงานระยะที่ 2 (อีโคคาร์ 2) ยังไม่มีการเดินหน้าโครงการ เนื่องจากรอดูความชัดเจนของการสนับสนุนเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า เพราะมีความกังวลหากรัฐบาลสนับสนุนมากจนกระทั่งได้รับผลกระทบของผลิตภัณฑ์ในวงกว้างทั้งเรื่องราคาขาย และเงื่อนไขการสนับสนุน
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากเงื่อนไขการสนับสนุนในปัจจุบันที่ยกเว้นภาษีการนำเข้า จะยังคงส่งผลให้ระดับราคารถยนต์ไฟฟ้ามีราคาสูง ซึ่งจะยังไม่ส่งผลกระทบในวงกว้าง หากแต่รัฐบาลสนับสนุนให้ราคาต่ำลงเท่ากับรถยนต์อีโคคาร์หรือรถยนต์นั่งขนาดเล็กจะส่งผลกระทบอย่างแน่นอน
ปัจจุบันความเห็นของผู้ผลิตรถยนต์ที่มีต่อเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ายังเป็นกระแสที่ทำให้เกิดความสับสนอยู่ หากรัฐบาลมีความต้องการจะเดินหน้าจริงจังควรมีความชัดเจนในการออกกำหนดมาตรการเงื่อนไขและระยะเวลาให้ชัดเจน
นอกจากนี้ ปัจจุบันสถาบันการเงินและธนาคารได้จับตาผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) อย่างใกล้ชิด เนื่องจากกลุ่มนี้ขอสินเชื่อเพื่อลงทุนระดับ 10-30 ล้านบาท ซึ่งหากมาตรการดังกล่าวเกิดขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงจะทำให้ระบบซัพพลายเชนกระทบเป็นโดมิโนจากการลดใช้ชิ้นส่วนและคำสั่งผลิตที่เปลี่ยนไป


