BrainProbe โมเดล AI ตัวใหม่ ตรวจจับโรคจิตเภทแม่นยำถึง 91%
BrainProbe โมเดล AI จากไต้หวัน ใช้ MRI วิเคราะห์สมอง วินิจฉัยโรคจิตเภทแม่นยำ 91.7% เพิ่มโอกาสรักษาอาการจิตเวชได้รวดเร็วทันท่วงที
KEY
POINTS
- BrainProbe คือโมเดล AI ที่พัฒนาโดยทีมวิจัยจากไต้หวัน สำหรับตรวจวินิจฉัยโรคจิตเภทโดยเฉพาะ มีความแม่นยำสูงถึง 91%
- ระบบ AI ใช้วิธีวิเคราะห์ข้อมูลจากภาพถ่ายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ของสมอง เพื่อตรวจจับร่องรอยความผิดปกติทางกายภาพที่ยากต่อการมองเห็นด้วยตาเปล่า
- การใช้ AI ช่วยสร้างมาตรฐานการวินิจฉัยที่ชัดเจน ทำให้สามารถตรวจพบโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งเพิ่มโอกาสในการรักษาและช่วยให้ผู้ป่วยยอมรับการรักษาได้ง่ายขึ้น
- ปัจจุบัน BrainProbe ยังอยู่ในช่วงการทดลองทางคลินิก และกำลังรอการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา (FDA) ของไต้หวันเพื่อใช้งานในวงกว้าง
AI ถือเป็นเทคโนโลยีที่เริ่มเข้าไปมีบทบาทในหลายวงการ ช่วยเพิ่มความก้าวหน้าและสะดวกสบายในการใช้ชีวิตไม่เว้นแม้แต่ในวงการแพทย์ ทั้งช่วยในการคิดค้นยา ค้นหาแนวทางรักษาแบบใหม่ ไปจนช่วยเร่งกระบวนการตรวจวินิจฉัยโรคให้รวดเร็ว เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้เข้ารับการรักษาทันท่วงที
และจะยิ่งล้ำไปอีกขั้นเมื่อมีการคิดค้นพัฒนา AI สำหรับวินิจฉัยโรคจิตเภทขึ้นมาโดยเฉพาะ
BrainProbe ระบบ AI วินิจฉัยโรคจิตเภท
ผลงานนี้เป็นของทีมวิจัยจาก Taipei Veterans General Hospital (TVGH) แห่งไต้หวัน กับการพัฒนา BrainProbe ระบบ AI ที่ได้รับการออกแบบสำหรับใช้ในการตรวจวินิจฉัยโรคจิตเภทโดยเฉพาะ ถือเป็นเครื่องมือคัดกรองผู้ป่วยจิตเวชประสิทธิภาพสูงที่มีระดับความแม่นยำถึง 91%
ตัวระบบอาศัยการตรวจวินิจฉัยจากข้อมูลภาพถ่ายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(MRI) ที่ได้รับจากการสแกนสมอง อาศัยอัลกอริทึมที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ จากฐานข้อมูลที่ของภาพถ่าย MRI สมองของเคสตัวอย่างมากกว่า 1,500 ราย ครอบคลุมทั้งผู้ป่วยจิตเวชและคนทั่วไป มาใช้ในการเรียนรู้และสร้างมาตรฐานในการประเมินโรค
ด้วยเหตุนี้ AI จึงมีคุณสมบัติในการตรวจสอบและชี้วัดร่องรอยความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับการทำงานสมอง ที่มีโอกาสและแนวโน้มในการขยายตัวไปสู่อาการจิตเภท ช่วยให้สามารถตรวจวัดร่องรอยการก่อตัวของโรคจากสัญญาณที่เกิดทางกายภาพที่ยากต่อการมองเห็นด้วยตาเปล่า ด้วยระดับความแม่นยำกว่า 91.7%
หนึ่งในกรณีที่ถูกนำมาใช้งานคือ ผู้ป่วยชายอายุ 30 ที่เริ่มประสบภาวะประสาทหลอนจากอาการหลงผิด นำไปสู่พฤติกรรมหวาดระแวงและหูแว่ว ซึ่ง Brain Phobe สามารถตรวจพบสัญญาณผิดปกติในการทำงานของสมองในส่วนอินซูลาและกลีบขมับ ซึ่งเป็นร่องรอยการก่อตัวของโรคจิตเภท
ผลลัพธ์จากการใช้ AI ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยแต่เนิ่นๆ และสามารถเข้ารักษาได้อย่างทันท่วงที
สู่อนาคตในการสร้างมาตรฐานกลาง และดูแลผู้ป่วยจิตเภทระยะเริ่มต้น
สำหรับท่านที่คุ้นเคยกับโรคจิตเภทย่อมรู้ดีการตรวจวินิจฉัยอาการผู้ป่วยเป็นเรื่องยาก จากความก้ำกึ่งคลุมเครือของอาการที่แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล การตรวจวินิจฉัยที่ผ่านมาจึงมักอาศัยการสังเกตพฤติกรรมและสัมภาษณ์ผู้ป่วย อาศัยประสบการณ์และวิจารณญาณของจิตแพทย์เป็นหลัก
ด้วยเหตุนี้การตรวจวินิจฉัยอาการจิตเภทจึงขาดมาตรฐานกลาง นำไปสู่การตีความประเมินอาการที่ค่อนข้างกว้างและคลุมเครือ ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกต่อต้านการรักษาไม่ยอมให้ความร่วมมือ ก็อาจนำไปสู่การหลบเลี่ยงหรือปกปิดอาการ จนทำให้คนกลุ่มนี้ไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี
ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปหากมีการนำ BrainProbe มาใช้ในการช่วยตรวจวินิจฉัยอาการ ด้วยกลไกการตรวจที่อ้างอิงภาพสแกน MRI จะช่วยให้มีเกณฑ์มาตรฐานในการอ้างอิงแน่ชัด ให้แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยโรค ความผิดปกติ และจ่ายยาให้แก่ผู้ป่วยได้อย่างมั่นใจ ลดภาระในการตรวจรักษาคนไข้ลง
สำหรับผู้ป่วยการตรวจด้วย AI จะช่วยให้พวกเขายอมรับความผิดปกติได้ง่ายขึ้นจากการมีหลักฐานเชิงประจักษ์ อีกหนึ่งปัญหาสำคัญของโรคจิตเภทคือ ผู้ป่วยมักละเลยไม่สนใจจากการไม่มีความผิดปกติทางกายภาพ การวินิจฉัยด้วยภาพ MRI สมองจะช่วยให้ผู้ป่วยยอมรับอาการป่วยและเข้ารับการรักษาง่ายขึ้น
โมเดล AI ยังสามารถตรวจร่องรอยความผิดปกติของสมองได้แต่เนิ่นๆ แม้ในช่วงอาการยังไม่รุนแรงหรือแสดงผลออกมาชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เข้ารับการตรวจมีโอกาสได้รับการวินิจฉัยโรคจิตเภทได้เร็วขึ้น เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เข้ารับการรักษาในระยะเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยลดอาการผิดปกติและเพิ่มโอกาสรักษาหายจนกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ
นอกจากนี้การตรวจวินิจฉัยความผิดปกติด้วยภาพถ่าย MRI สมองแบบนี้ ยังช่วยให้ระบุส่วนที่เกิดความผิดปกติระหว่างการก่อตัวและเกิดโรคทางจิตเภท เช่น อาการประสาทหลอน ความหลงผิด หรืออาการผิดปกติทางการรับรู้ออกมาเป็นรูปธรรมได้ชัดเจน ซึ่งอาจช่วยให้สามารถนำไปต่อยอดในการรักษาอาการตรงจุดต่อไป
BrainProbe จึงถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่อาจช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยจิตเวชอย่างกว้างขวาง
ปัจจุบัน BrainProbe ยังอยู่ในช่วงการทดลองทางคลินิก และกำลังรออนุมัติจาก FDA ไต้หวันอย่างเป็นทางการ ปัจจุบันเริ่มมีการทดลองใช้ในกลุ่มผู้ป่วยในบางโรงพยาบาล แม้ยังไม่ได้รับการอนุมัติให้ใช้งานวงกว้าง แต่เมื่อประเมินว่านี่เป็นเทคโนโลยีน่าสนใจ และเคยได้รับเหรียญทองในงาน Edison Awards 2025 ในสาขานวัตกรรมทางระบบประสาท ก็มีแนวโน้มว่าอาจได้รับการอนุมัติให้ใช้งานในไม่ช้า
ที่เหลือคงต้องรอดูกันต่อไป BrainProbe จะสามารถนำมาใช้งานกันทั่วไปได้แค่ไหน
ที่มา
https://focustaiwan.tw/sci-tech/202507020022
https://www.taipeitimes.com/News/taiwan/archives/2025/07/04/2003839720


