posttoday

การร่วมมือกันปกป้องภัยจากโรคระบาด COVID19

11 เมษายน 2563

โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

ในสภาวะที่ไม่ปกติ จากการคุกคามของเจ้าวายร้าย COVID19 ทำให้คนในชาติต้องหันมาร่วมมือกันในการป้องกันภัยจากโรคร้าย ที่ประเทศไทยเรา ผมคงไม่ต้องเล่ามาก เพราะทุกคนคงจะเอียนกับข่าวที่ได้รับจากกลุ่ม Line, Facebook, YouTubeและกลุ่มโซเชียลมีเดีย ทุกๆช่องทาง

ในขณะที่เมียนมาเอง ก็ได้เห็นน้ำใจของคนในชาติด้วยเช่นกัน อีกทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้เล่าให้ฟังแล้วว่า ทางมหามิตรจากต่างประเทศ เช่น จีน ก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยด้วยอีกแรงหนึ่ง

อาทิตย์นี้จึงขออนุญาตอัพเดทข้อมูลข่าวสารให้ท่านได้รับฟังครับ ผมเชื่อว่าวันนี้แม้ภาวะของโรคระบาด COVID19 จะรุนแรงมากมาย แต่สิ่งที่อยู่ใต้พรมหรือก้อนน้ำแข็งใต้ทะเลนั้น มีความร้ายกาจมากกว่าที่เราเห็นอีกเยอะ

ผมอยากจะชี้ให้ท่านเห็นถึงผลที่จะตามมาในอนาคต หลังจากที่เจ้าวายร้าย COVID19 จากไป

เพราะสิ่งที่ตามมา คือ สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจะต้องกระทบสู่ทุกๆประเทศแน่นอนและเชื่อว่าหลายท่านคงจะคาดเดากันอยู่เหมือนกันว่าเศรษฐกิจโลกจะไปในทิศทางไหน

ก่อนอื่นผมอยากให้ดูที่ผู้ใช้แรงงานก่อน เพราะในช่วงนี้มีหลายธุรกิจต้องปิดตัวลงก่อน เพราะไม่สามารถเปิดกิจการได้ จากผลของการเป็นแหล่งที่สามารถกระจายโรคได้ง่าย เช่น ร้านอาหาร โรงมโหรสพ สถานจัดเลี้ยง ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ พนักงานเหล่านั้นล้วนหาเช้ากินค่ำกัน หากได้รับเงินเดือนครึ่งหนึ่ง หรือ ไม่ได้รับเงินเดือน จะเอาอะไรมากินกัน ไหนจะค่ากินค่าเช่าบ้าน มีรถต้องส่งรถ มีบ้านต้องส่งบ้าน ในกรณีโควิดผ่านไป ถ้าได้กลับไปทำเหมือนเดิมก็ดีไป ถ้าไม่ได้กลับมาเหมือนเดิมก็เสร็จหมดละครับ

ในส่วนของผู้ประกอบการก็อยู่ในชะตากรรมที่ย่ำแย่กว่าแรงงานอีกครับ ผมเคยพูดว่า “ยิ่งใหญ่ ยิ่งเจ็บ” เพราะค่าใช้จ่ายคงที่หรือที่เรียกว่า “Fix Costs” มันไม่ได้เกี่ยวกับรายได้ที่เข้ามาจะมากหรือน้อย ค่าใช้จ่ายคงที่ก็จะต้องจ่ายอยู่ตลอดเวลาค่าใช้จ่ายคงที่ที่หนักสุด คือ ค่าดอกเบี้ยธนาคารที่วิ่งอยู่ทุกวัน ค่าใช้จ่ายอื่นๆอีกเยอะแยะ เมื่อไม่มีรายได้เข้ามาเลย สุดท้ายหากลากยาวไปสักสามเดือนหกเดือน

คนที่สายป่านพอมี ก็ยังคงอยู่ได้ คนที่สายป่านไม่มากก็เสร็จอีกเช่นกัน คนที่ทำเล็กๆแต่พอเพียง ก็ยังสามารถทนไหว คนที่ทำใหญ่ๆค่าใช้จ่ายเยอะๆ ก็เรียบร้อยแน่นอน เราจะเห็นสัจธรรมเรื่องทฤษฏีคนแข็งแกร่งอยู่รอด คนอ่อนแอล้มหายตายจากในคราวนี้แหละครับ

ในส่วนที่ประเทศเมียนมาก็เช่นกันครับ หรือ อาจจะหนักหนากว่าประเทศไทยเราเยอะ เพราะที่นั่นเพิ่งจะเปิดประเทศไม่นาน เราจะเห็นของจริงของปลอมกันคราวนี้แหละ ที่นั่นมีการประกาศปิดเมืองกัน 10 วัน ตั้งแต่วันที่ 10-19 เมยายนนี้ ซึ่งทุกอย่างในด้านเศรษฐกิจจะถูกปิดตัวลงอย่างเร่งรีบ

ในขณะเดียวกัน มหามิตรจีน ก็ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษา COVID19 ทั้งหมด 12 ท่านจากมณฑลยูยนาน นำทีมโดยดร.หยาง หลี่ เจียน ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์คุนหมิง มาพร้อมกับอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆมากมาย

พร้อมทั้งให้ทางเมียนมาจัดทีมแพทย์พยาบาลเข้าร่วมรับการอบรม เพื่อรับมือกับเจ้าวายร้ายตัวนี้ และยังได้จัดส่งโรงพยาบาลเคลื่อนที่ ที่สามารถสร้างเสร็จภายใน 7 วันมาให้เมียนมาทั้งหมด 40 หลัง โดยที่ทางเมียนมาเองได้เตรียมเริ่มสร้างใว้ที่ข้างสะพานมหาบันดูล่า ซึ่งเดิมเป็นอู่รถเมล์ YBS ในใจกลางเมืองย่างกุ้ง ก็อยู่ข้างบ้านผมที่ย่างกุ้งนั่นแหละครับ

คนที่เคยไปย่างกุ้งต้องบอกว่าอยู่ห่างจากวัดเทพทันใจประมาณไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรครับ โรงพยาบาลเคลื่อนที่ที่ได้มาจากความช่วยเหลือของจีนนี้ สามารถรองรับผู้ป่วยได้ห้องละ 20 คน นี่เป็นข่าวดีของเมียนมาเลยครับ

ในส่วนของเมียนมาเอง กองกำลังตามชายแดนต่างๆ ก็เริ่มหันหน้ามาคุยกันมากขึ้นโดยเขาได้ร่วมแรงร่วมใจกันยุติการขัดแย้งชั่วคราวใว้ก่อน หันหน้ามาร่วมกันต่อต้านภัยร้ายครั้งนี้กันอย่างถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน

ท่านอ่อง ซาน ซูจี เองเมื่อเห็นโอกาสดีเช่นนี้ ท่านก็ได้มีการออกข่าวมากระตุ้นความรักชาติ รักประชาชน ปกป้องชีวิตของประชาชนกันน่าดู ได้รับทราบมาว่าอาจจะมีการจัดประชุมใหญ่ “สนธิสัญญาปางหลวงครั้งที่ 3” ให้เร็วขึ้น

โดยจะหาเวลาอันเหมาะสมจัดการประชุม ใครที่บอกว่าอุบัติการณ์ภัยร้ายครั้งนี้ จะทำให้เกิดการแตกแยกกันนั้น ผมกลับเห็นแย้งว่า น่าจะเป็นการทำให้เกิดความรักสามัคคีกันมากขึ้นมากกว่าครับ