posttoday

เรื่องของเศรษฐีเขา เราไม่เกี่ยว

03 กุมภาพันธ์ 2563

โดย กริช อึ๊งวิฑูรสถิตย์ 

ผมมีเพื่อนรุ่นพี่ที่ผมเคารพรักกันมากท่านหนึ่งซึ่งเป็นชาวไต้หวัน ที่ช่วงปีที่ผ่านมาผมได้ชวนให้ท่านไปช่วยเป็นผู้ใหญ่ดูแลอาคารเมียนมา-ไทยเทรดเซ็นเตอร์ ซึ่งก่อนหน้านั้นท่านเคยมาทำงานอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลาร่วมยี่สิบปี

ทำทั้งเปิดบริษัทของตนเอง เล่นหุ้นหรือถ้าเรียกให้เพราะๆก็ต้องบอกว่าเป็นนักลงทุน จนกระทั่งบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เชิญท่านเข้าไปทำงานด้วย และต่อมาเมื่อเกิดวิกฤต56 บริษัทหลักทรัพย์ปิดตัวไป ท่านก็เข้าไปเมียนมาเป็นรองประธานบริหารธนาคารแห่งหนึ่งในย่างกุ้ง

เรามักจะคุยกันได้ทุกเรื่อง มีอยู่วันหนึ่งนานมาแล้ว ท่านบอกผมว่าท่านรักเมืองไทยมาก ผมถามว่าอะไรที่ท่านประทับใจคนไทยมากที่สุด ท่านบอกว่า คนไทยไม่มีนิสัยอิจฉาคนรวย และคนไทยที่ฐานะยากจน

เมื่อเห็นคนรวยทำโน่น นี่ นั่น ก็มักจะชอบพูดว่า "เรื่องของเศรษฐีเขา เราไม่เกี่ยว" คือเราคนจนไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับรวยหรือมหาเศรษฐีนั่นเอง ต่างจากชาวต่างประเทศ ที่เห็นคนที่รวยกว่าเรา มักจะกระตือรือล้น จนมองแล้วคล้ายว่าจะอิจฉาเขานั่นเอง

วันนี้ผมยกเอาเรื่องนี้มาพูด เพราะอยากจะเล่าให้ท่านแฟนคลับทั้งหลาย มองดูการที่ประธานิบดีสี เจี้ยนผิง เข้าไปเยี่ยมเยือนประเทศเมียนมาเมื่อวันที่ 17-18 มกราคมที่ผ่านมา และได้ทำการเซ็น MOU กับรัฐบาลเมียนมาไปทั้งหมด 33 ฉบับเสมือนหนึ่งการที่มหาเศรษฐีอันดับสองของโลก เข้าไปบ้านคนทั่วไปที่มีอันดับ 177 ของโลก (ตามการจัดอันดับของธนาคารโลก) แล้วแจกโปรเจ็คพัฒนาบ้านเมืองเหมือนการเข้าไปบ้านคนธรรมดาแล้วเห็นบ้านเขาฝาบ้านผุพัง หลังคารั่ว พื้นบ้านทรุด แล้วบอกว่าเอามั้ย ผมจะช่วยซ่อมบ้านให้ จากนั้นก็ให้สัญญาว่าเรามาร่วมมือกันซ่อมบ้านกันเถอะ นี่คือเหตุการณ์เมื่อวันที่ 17-18 มกราคม ที่ผ่านมาครับ

ต่อมาเมื่อวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา ญี่ปุ่นโดยท่านเอกอัครราชฑูตญี่ปุ่นประจำประเทศเมียนมา ท่าน Ichiro Maruyama ก็ได้ลงนามเซ็นต์สัญญากับท่านรัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลังและวางแผน ท่าน Maung Maung Win ให้ประเทศเมียนมากู้ยืมเงินระยะยาวดอกเบี้ยต่ำ จำนวน 1.1พันล้านดอลลาร์ เพื่อนำมาใช้ในโครงการพัฒนาระบบท่อน้ำทิ้งในย่างกุ้ง การพัฒนาระบบการจราจรเพื่อป้องกันการติดขัดจราจรบนท้องถนนโครงการป้องกันความเสียหายที่เกิดจากอุทกภัยในเมืองย่างกุ้ง

และโครงการปรับปรุงการกระจายอำนาจในย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ อีกทั้งโครงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาครัฐมอญ รัฐฉิ่น รัฐยะไข่ รัฐกระหยิ่น และรัฐตะเหน่งดายี่หรือตะนาวศรี โดยจะเน้นไปที่การสร้างถนน สะพานพลังงานไฟฟ้า และน้ำปะปาในพื้นที่ชนบทเป็นหลัก ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องการของชาวชนบทในประเทศเมียนมาเป็นอย่างยิ่ง

และเป็นความท้าทายของรัฐบาลประชาธิปไตยที่รับไม้ช่วงต่อจากรัฐบาลทหารมา นับว่าเป็นการซื้อใจคนเมียนมาทั้งคนทำงาน (รัฐบาลพรรค NLD)และเจ้าภาพเจ้าของเงิน (รัฐบาลญี่ปุ่น) เห็นมั้ยครับ เหมือนที่ผมเกริ่นนำมาเรื่องของเศรฐีเขา เราไม่เกี่ยวหรือเปล่าครับ

หรืออาจจะมองว่าเป็นการต่อสู้แย่งชิงพื้นที่ในหัวใจชาวเมียนมาของจีนและญี่ปุ่นก็คงไม่ผิด แต่ยังมีอีกสองประเทสที่กำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวอยู่ คือ เกาหลีใต้และสิงคโปร์ ผมมีความเชื่อว่าอีกไม่นานเกินรอเราคงจะได้ข่าวการช่วยเหลือจากสองประเทศนี้แน่ๆ

เหตุผลที่ผมเชื่อเช่นนั้นเหรอครับ? จะบอกว่าวันนี้ประเทศเมียนมาเปรียบเสมือนสาวแรกรุ่นดรุณีแม้จะเป็นเพียงสาวบ้านนอกไร้เดียงสา แต่ว่าสาวน้อยนี้มีบ้านที่อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำสองสายใหญ่ตัดผ่ากลางบ้าน สายเล็กสายน้อยยังมีอีกเพียบ มีทรัพยากรธรรมชาติที่มากมาย บนดินยังมีป่าไม้ที่ยังไม่ได้ถูกทำลายอีกเยอะ ใต้ดินมีทั้งเพชรนิลจินดา น้ำมันดิบ แก๊สธรรมชาติ

(แม้จะถูกเพื่อนบ้านเช่น ปตท ของไทยไปเอามาบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีอีกจม) สาวน้อยนางนี้จึงเนื้อหอมเป็นธรรมดาครับ ผมเองพยายามที่จะนำเอาความสวยน่ารักของสาวน้อยเมียนมา ที่ผมไปอยู่และทำมาหากินที่นั่นมาสามสิบปี มาเล่าให้หนุ่มไทยฟังก็ยังไม่ค่อยจะมีคนสนใจมากนักเลยครับ ถึงต้องใช้เวลามาสี่ห้าปี พูด เล่าจนบางคนบอกว่าผมบ้า ภรรยาที่บ้าก็บอกว่าพอได้แล้ว กลับบ้านเถอะ เราอายุมากแล้ว

แต่ผมก็ยังดื้อที่จะทำต่อไป เพื่อสักวันจะได้เห็นผู้ประกอบการไทยได้เข้าไปปักหลักที่นั่นเยอะๆเข้าไปเจาะตลาดหรือนำเอาผลผลิตของเขามาแปรรูปแล้วขายเอาเงินเข้าประเทศกันเถอะครับรัฐบาลไทยเองก็ต้องเหลือบหางตามามองสักนิดเถอะครับ ดูประเทศอื่นเขาอยู่ห่างไกลต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อยู่

เรากลับทำนิ่งเฉยเหมือนคนจนมองดูคนรวยเขาใช้เงินเสพสุขอยู่แล้วก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เรื่องของเศรษฐีเขา เราไม่เกี่ยว” เหรอครับ.......