posttoday

เสียมราฐ สักครั้งก่อนตาย (หมื่นเดียวเที่ยวสบาย)

13 มิถุนายน 2558

ปักหมุดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ภายใต้เงื่อนไข หนึ่ง งบประมาณ 1 หมื่นบาท สอง มีเวลา 3 คืน 4 วัน

โดย...กาญจน์ อายุ

ปักหมุดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ภายใต้เงื่อนไข หนึ่ง งบประมาณ 1 หมื่นบาท สอง มีเวลา 3 คืน 4 วัน และสาม ต้องเห็นเมืองพระนคร (Angkor) ให้มากที่สุด

วางแผน

สิ่งแรกที่ต้องคำนึงคือ การเดินทาง เพราะเป็นค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของทริป วิธีไปเมืองเสียมราฐมี 2 ทาง คือ นั่งรถไปข้ามแดนที่ด่านปอยเปต ใช้เวลา 4 ชั่วโมง และต่อรถที่นั่นไปเสียมราฐระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร ใช้เวลาอีก 4 ชั่วโมง วิธีนี้จะเสียค่ารถไป-กลับประมาณ 1,000 บาท กับอีกทางคือ เครื่องบิน มีสายการบินโลว์คอสต์ของแอร์เอเชียบินไปเสียมราฐวันละ 2 เที่ยวบิน ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง (ขากลับแค่ 50 นาที) ราคาขึ้นอยู่กับวันและเวลาที่ไป จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะไปเที่ยวเสียมราฐช่วงนี้ (มิ.ย.-ก.ย.) เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นสุดๆ ทำให้ราคาตั๋วไป-กลับอยู่ที่ 3,000 ปลายๆ ส่วนเรื่องวีซ่าไม่ต้องทำถ้าอยู่ไม่เกิน 14 วัน ใช้แค่พาสปอร์ตที่มีอายุเหลืออย่างน้อย 6 เดือนในการเข้า-ออกประเทศ

ถัดมาคือ ที่พัก ในตัวเมืองเสียมราฐมีให้เลือกตั้งแต่เกสต์เฮาส์ราคาไม่ถึงพันไปจนถึงโรงแรมห้าดาว ที่พักราคาประหยัดจะกระจุกกันรอบๆ ผับสตรีท ย่านนี้คล้ายถนนข้าวสารบ้านเรา เดินไปทางไหนก็เจอแต่ฝรั่ง คนเกาหลี คนจีน และส่วนใหญ่เป็นแบ็กแพ็กเกอร์ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และรถตุ๊กตุ๊ก

เสียมราฐ สักครั้งก่อนตาย (หมื่นเดียวเที่ยวสบาย) ประตูทางเข้าปราสาทตาสม

 

การเดินทางภายในเสียมราฐ ประหยัดที่สุดคือเช่าจักรยาน แต่แนะนำให้เป็นทางเลือกสุดท้ายในฤดูร้อนสลับฝนเช่นนี้ เพราะจากตัวเมืองไปแหล่งท่องเที่ยวไกลกันราว 10 กิโลเมตร แดดเสียมราฐไม่ปรานีใคร และห่าฝนก็ไม่แยแสคนใต้ฟ้าเช่นกัน วิธีที่เหมาะสุดคือ เหมาตุ๊กตุ๊ก หากไปคนเดียวให้แจ้งกับทางที่พักไว้เพื่อแชร์ไปกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ซึ่งรถ 1 คัน นั่งได้ 4 คน

เคยได้ยินมาหนาหูเรื่องถูกโกงค่ารถ ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงควรให้ทางที่พักจัดหารถตุ๊กตุ๊กและพึงรู้ราคามาตรฐานไว้ (ทุกอย่างในเสียมราฐคิดเป็นสกุลเงินดอลลาร์) ดังนี้ ค่ารถรับ-ส่ง ระหว่างสนามบินกับตัวเมือง 5 เหรียญสหรัฐ ราคาทัวร์มี 2 แบบ รอบเล็ก 15 เหรียญสหรัฐ รอบใหญ่ 18 เหรียญสหรัฐ หากออกนอกเส้นทางจะขึ้นอยู่กับระยะทางราคาอยู่ที่ 5-10 เหรียญสหรัฐ เช่น ชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกต้องจ่ายเพิ่มอย่างละ 5 เหรียญสหรัฐ ชมการแสดงอัสราพร้อมรับประทานอาหารเย็น 12 เหรียญสหรัฐ และขึ้นบอลลูนชมวิวมุมสูง 125 เหรียญสหรัฐ/40 นาที

เสียมราฐ สักครั้งก่อนตาย (หมื่นเดียวเที่ยวสบาย) แต่ละนางมีลักษณะไม่ซ้ำกัน

 

ขอขยายความรอบเล็กและรอบใหญ่ การทัวร์รอบเล็กไปได้ 3 แห่ง ได้แก่ นครวัด นครธม และปราสาทตาพรหม รอบใหญ่คือวัดที่อยู่รอบๆ มี 5 แห่ง ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางนานกว่า การเข้าชมเมืองพระนครต้องซื้อบัตรโดยมีให้เลือก 2 แบบ คือ 1 วัน ราคา 20 เหรียญสหรัฐ และ 3 วัน ราคา 40 เหรียญสหรัฐ หากไปกับบริษัททัวร์ส่วนใหญ่จะเข้าไปเพื่อชมไฮไลต์เพียง 1 วัน แต่หากไปเที่ยวเองแนะนำให้ซื้อแบบ 3 วัน เพราะแค่เดินในนครวัดก็ใช้เวลาไปค่อนวันแล้ว

เวลาซื้อบัตรจะมีการถ่ายภาพหน้าของเราลงบนนั้น และระบุวันที่ไว้ชัดเจน ทุกครั้งที่เข้าชมโบราณสถาน ไม่ว่าที่ใดในพระนครจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจก่อนเข้าทุกครั้ง ดังนั้น ถ้าหายหรือถูกฝนสีละลายต้องซื้อใหม่สถานเดียว นอกจากนี้ ค่าเข้าชมที่เสียไปคือค่าเข้าเท่านั้น ไม่มีแผ่นพับหรือแผนที่ให้ เพื่ออรรถรสในการชม ควรศึกษาข้อมูลหรือพกหนังสือไปด้วย เพราะไม่เช่นนั้นพระนครจะกลายเป็นเพียงแหล่งโบราณสถานที่มีแต่ศิลาแลง

เสียมราฐ สักครั้งก่อนตาย (หมื่นเดียวเที่ยวสบาย) นครวัดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น

 

วันที่ 1 จากทางทิศตะวันตก

ไม่ว่าทางรถหรือเรือบินจะไปถึงเสียมราฐก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เป็นเวลาดีที่จะเริ่มต้นทริปด้วยการบอกลาดวงตะวัน จุดชมพระอาทิตย์ตกมุมสูงอยู่ที่ปราสาทพนมบาเค็ง (Phnom Bakheng) ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง 75 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีรูปทรงเป็นพีระมิดสี่เหลี่ยมขั้นบันได 5 ชั้น เป็นสัญลักษณ์ของเขาพระสุเมรุที่ประทับของเหล่าทวยเทพในศาสนาฮินดู ตัวปราสาทถูกสร้างให้ทำมุมกับดวงอาทิตย์ตามหลักการดาราศาสตร์และปฏิทินมหาศักราช ทำให้ทุกๆ วันที่ 21 มี.ค.ของทุกปี หรือวันวสันตวิษุวัต (Vernal Equinox) ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงหน้าประตูพอดี

นักท่องเที่ยวต้องเดินขึ้นเขาใช้เวลาประมาณ 20 นาที แต่กว่าที่จะขึ้นไปบนยอดปราสาทได้ต้องต่อคิวและจำกัดแค่ 300 คน โดยจะมีเจ้าหน้าที่ยื่นบัตรให้รายคน ถ้าบัตรหมดต้องรอให้คนด้านบนลงมา ถ้าไม่มีใครลงก็ไม่มีสิทธิขึ้นไป แต่ก็คุ้มที่จะรอ ลองคิดภาพตามว่าพระอาทิตย์ดวงกลมโตลับเข้าแนวป่าและทิ้งไว้เพียงแสงสีส้มแดงเป็นฉากหลังให้เทวสถานกลายเป็นซีลูเอตท์ ยิ่งเพิ่มความสวยงามและความขลังเข้าไปอีกเท่าตัว

เสียมราฐ สักครั้งก่อนตาย (หมื่นเดียวเที่ยวสบาย) รอยยิ้มแห่งบายน

 

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะไล่ลงก่อนที่แสงทไวไลท์จะหายไป ตอนแรกก็หงุดหงิดใจเพราะต่อคิวมานานน่าจะให้ชมจนหมดแสง แต่เมื่อเดินลงเขาก็เข้าใจในเหตุผล เพราะเมื่อมืดคือมืดสนิท ไม่มีไฟรายทาง แถมด้วยกองทัพแมลงและยุงที่แห่ออกมาจากป่า ถ้าอยู่ข้างบนนานก็ยิ่งถูกรุมมากเท่านั้น

วันที่ 2 ตื่นทางทิศตะวันออก

ตี 4 ครึ่ง ตุ๊กตุ๊กมารับไปนครวัด ถึงที่นั่นประมาณตี 5 แต่ก็มีคนมาเช้ากว่าจับจองพื้นที่แถวหน้าริมบารายหรือบ่อน้ำ เพื่อจะได้ภาพนครวัดสะท้อนน้ำ

ก่อนตะวันจะมาท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนจากสีดำกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม เข้มเหมือนสีคราม ทำให้ปราสาททั้ง 5 ในนครวัดกลายเป็นภาพย้อนแสง องค์ประกอบภาพที่อยู่เบื้องหน้าเหมือนภาพวาด ตอนนั้นพู่กันลงสีตัวปราสาทเสร็จแล้ว แต่ยังละเลงท้องฟ้าอยู่ ทำให้ทุกนาทีโทนสีฟ้าเปลี่ยนไป จากเข้มจัดกลายเป็นเข้มอ่อน และเริ่มมีเส้นสีแดงขึ้นที่ขอบฟ้า

เสียมราฐ สักครั้งก่อนตาย (หมื่นเดียวเที่ยวสบาย) นักท่องเที่ยวชาวอินเดียพาครอบครัวมาเที่ยวนครวัด

 

ชะงักเหตุการณ์ไว้สักครู่... ดูข้อมือตัวเองนาฬิกาบอกเวลาตี 5 ครึ่ง ตรงเผงกับเวลาที่ทัวร์แห่กันมา ถ้าใครมาหลังจากนี้อาจไม่เห็นพระอาทิตย์ แต่จะเจอแต่หัวคน และหลังจากผู้ชมเต็มโรง การแสดงก็เริ่ม เกลอเก่ากลับมาฉายแสงให้วันใหม่ สาดแสงให้ปราสาทเป็นสีเหลืองทองเหมือนสีทุ่งข้าวออกรวง จำได้ว่าวินาทีนั้นเงียบสงัด ผู้คนนับร้อยเงียบพร้อมกันเหมือนถูกต้องมนต์

เคยอ่านสูตรเที่ยวนครวัดจากบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวชื่อ เบคกี้ (Becki Enright) เขาเขียนไว้ว่าเมื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จให้ออกไปเที่ยวปราสาทบายน (ส่วนหนึ่งของนครธม) และปราสาทตาพรหม แล้วจึงกลับมาเที่ยวนครวัดตอนบ่าย เพื่อหลีกเลี่ยงผู้คนหนาแน่นที่นครวัดในช่วงเช้า แต่สูตรนี้น่าจะเหมาะกับช่วงหน้าหนาว เพราะหากเดินนครวัดช่วงบ่ายตอนนี้อาจถูกความร้อนขัดขวางการเดินชมเทวสถานที่ใหญ่ถึง 2 แสน ตร.ม.

นครวัด สร้างในปี ค.ศ. 1113 ในรัชสมัยพระเจ้าสุริยะวรมันที่ 2 ตั้งแต่ยังมีอาณาจักรขอมโบราณ เพื่อถวายแด่พระวิษณุในศาสนาฮินดู นับถึงตอนนี้ก็มีอายุถึง 900 ปีแล้วแต่นครวัดยังค่อนข้างสมบูรณ์ นครวัดมีกำแพงด้านนอกยาวด้านละ 1.5 กม. มีปราสาท 5 หลังบนฐานสูงตามความเชื่อของศูนย์กลางจักรวาล เรื่องราวที่น่าทึ่งคือ ตามผนังยังมีรูปแกะสลักนางอัปสรามากกว่า 1,600 นาง แต่ละนางมีลักษณะต่างกันทั้งหมด หินทุกก้อนขนมาจากเขาพนมกุเลนที่อยู่ห่างไกล 50 กม. ในยุคที่ยังไม่มีรถบรรทุกจึงต้องใช้ช้างกว่า 4 หมื่นเชือก และคนงานนับแสนในการสร้าง

เสียมราฐ สักครั้งก่อนตาย (หมื่นเดียวเที่ยวสบาย) ชมปราสาทบายน

 

นครวัดมุมสูงต้องขึ้นไปดูที่จุดศูนย์กลางจักรวาล หรือบนยอดปราสาทสูง 80 เมตร ทางขึ้นเป็นบันไดเหล็กวางทับบันไดหินที่สึกกร่อน จำกัดจำนวนคนเช่นเคย แต่คิวรันเร็วกว่าเพราะด้านบนมีเจ้าหน้าที่ควบคุมเวลา จากบนนั้นจะเห็นนครวัดได้ 360 องศา เห็นความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรขอมโบราณที่ทุกตารางนิ้วสร้างขึ้นจากฝีมือมนุษย์ และเห็นความคงอยู่ของอารยธรรมที่อยู่คงมาถึงวันนี้

กระทั่งปี 1177 พระนครถูกชาวจามรุกราน บ้านเมืองระส่ำระสาย ทำให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างเมืองหลวงใหม่ที่ นครธม ถือเป็นเมืองหลวงสุดท้ายของอาณาจักรขอม และสร้างปราสาทบายนเป็นวัดประจำรัชกาลและเพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้า ในสมัยพระองค์เป็นยุคที่พระพุทธศาสนาถูกเผยแผ่และเข้ามาแทนที่ศาสนาฮินดูจนถึงปัจจุบัน เพราะพระองค์เป็นพุทธศาสนิกชนและเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก สถานที่โด่งดังและเป็นเอกลักษณ์ของนครธมคือ ปราสาทบายน มีรูปสลักพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรจำนวน 216 พระพักตร์ นอกจากนี้ ภายในเขตนครธมยังมีวัดและปราสาทอื่นอีก 5 แห่ง

ปราสาทตาพรหม อยู่ไกลออกไป คือวัดในพุทธศาสนาและเป็นวิหารหลวงในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ปัจจุบันตัวปราสาทถูกปกคลุมด้วยรากของต้นสะปง หรือภาษาไทยเรียกว่าต้นสำโรง เป็นต้นไม้ยืนต้นเนื้ออ่อนที่รากจะมีขนาดใหญ่ เพราะดูดซับน้ำใต้ดินขึ้นไปเลี้ยงลำต้น และไม่ได้มีแค่จุดเดียว แต่มีเป็นสิบต้น! ปราสาทตาพรหมมีชื่อเสียงสุดขีดหลังจากหนังเรื่องทูมเรเดอร์ฉายทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยเรียกปราสาทแห่งนี้ว่าปราสาทแองเจลินา โชลี

3 แห่งนี้เหมาะมากสำหรับคนที่ซื้อบัตรแบบ 1 วัน แต่สำหรับคนที่ซื้อ 3 วันแล้ว วันสุดท้ายต้องจัดเต็มกับเส้นทางเก็บตกวัดรอบๆ พระนคร

วันที่ 3 เลาะพระนคร

ก่อนที่หน้ากระดาษจะหมด ขอกล่าวถึงเส้นทางนี้พอสังเขปและเห็นภาพ เส้นทางเริ่มต้นที่ วัดแปรรูป (Pre Rup)สร้างขึ้นก่อนนครวัดในยุคของพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 ราวปี 960 เพื่อถวายแด่พระศิวะ ด้านบนปราสาทสามารถมองไปถึงนครวัด และเห็นส่วนหนึ่งของภูเขาพนมกุเลน นอกจากนี้ พระองค์ยังสร้าง ปราสาทเมบอนตะวันออก หรือบางคนเรียกว่าปราสาทแม่บุญตะวันออก ที่ห่างออกไป 500 เมตร สร้างขึ้นบนเกาะที่ถมขึ้นกลางบารายฝั่งตะวันออกเพื่อถวายแด่พระศิวะเช่นกัน

จากนั้นมุ่งสู่กลุ่มปราสาท 3 แห่ง ที่เรียกว่าแหล่งพุทธศาสนา (Buddhist Complex) สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ไล่เรียงไปตามเส้นทาง ได้แก่ ปราสาทตาสม (Prasart Ta Som) เป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นในยุคที่พระพุทธศาสนามีอิทธิพล โดยสร้างตามแบบปราสาทบายนและเพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้า จุดที่ห้ามพลาดคือประตูที่ปกคลุมด้วยรากไม้ จากทางเข้าต้องเดินไปจนถึงประตูสุดท้าย และเดินทะลุประตูออกไปถึงเห็น ปราสาทนาคพัน หรือปราสาทเนี้ยกปอน (Prasat Neak Pean) เอกลักษณ์อยู่ที่นาค 2 ตัวพันฐานปราสาทประธาน คือ นันทะนาคราช และอุปนันทะนาคราช ปราสาทสร้างอยู่กลางสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เปรียบเป็นสระอโนดาต และแห่งสุดท้ายคือ ปราสาทพระขรรค์ (Prasat Preah Khan) เป็นวัดที่มีทั้งศิลปะทางพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูผสมผสานกัน ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ปราสาทแห่งนี้เคยเป็นอโรคยาศาลาที่ใหญ่ที่สุด อีกทั้งเคยเป็นสถานที่สู้รบระหว่างขอมและพวกจาม ซึ่งชื่อปราสาทพระขรรค์มาจากพระแสงดาบที่ทำให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ชนะศัตรูนั่นเอง

ทั้ง 5 วัดอยู่ในเส้นทางบิ๊กทัวร์ แม้แต่ละที่มีขนาดไม่ใหญ่เท่าวัดสำคัญ แต่มีเสน่ห์ตรงบรรยากาศที่ดิบกว่า เห็นร่องรอยของกาลเวลามากกว่า และสามารถใช้เวลาในแต่ละแห่งได้เต็มที่ ไม่มีการต่อคิว ไม่มีนักท่องเที่ยวมากมาย จึงดื่มด่ำได้นานเท่าที่ต้องการ

พระนครถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1992 ด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม องค์การยูเนสโกยกย่องให้พระนครเป็นแหล่งโบราณสถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นตัวแทนอารยธรรมขอมตั้งแต่ศตวรรษที่ 9-14 สมกับเป็นสถานที่ที่ต้องไปสักครั้งก่อนตาย

บรรลุเงื่อนไข

เสียมราฐ 3 คืน 4 วัน เดินทางโดยเครื่องบิน นอนโรงแรม 3 ดาวย่านผับสตรีท ไปเที่ยวทั่วพระนคร โดยรถตุ๊กตุ๊ก 3 วัน ส่วนวันที่ 4 เดินเล่นในตัวเมืองและเดินทางกลับ งบประมาณอยู่ที่ 8,000 บ. แต่ หากไปช่วงไฮซีซั่น ต.ค.-เม.ย. ราคาห้องพักจะแพง กว่า 1 เท่า นอกจากแหล่งท่องเที่ยว ยังมีสิ่งที่ห้ามพลาด ดังนี้ 1. ดื่มน้ำผลไม้ปั่นที่ เดอะ บลู พัมพ์กิน (The Blue Pumpkin) มี 2 สาขา แต่สาขาริมถนน Sivatha จะมีโซฟาให้นั่งสบายกว่า 2. ซดกาแฟดริปที่ เอสโซ่ ดริป (Esso Drip) ออกจากตัวเมืองไปเล็กน้อย อยู่เยื้องกับโรงแรมพาร์ค ไฮแอท เสียมเรียบ ใช้เวลาเดิน 10 นาที 3. ลองไอศกรีมโฮมเมดที่ เจลาโต้ (Gelato) ร้านสีฟ้าแถวตลาดซาจ๊ะหรือ Old Market 4. รับประทานอาหารเขมรที่ ขะแมร์ คิทเช่น (Khmer Kitchen Restaurant) ตรงข้ามตลาดซาจ๊ะ 5. ของฝากที่เป็นสัญลักษณ์ของกัมพูชาคือ ผ้าขาวม้าลายตารางสีสด ขายผืนละ 2 USD