posttoday

เปิดวิชั่นหัวเรือใหม่ เอสซีจี "รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส" ลุยอาเซียน

01 กุมภาพันธ์ 2559

ส่องทิศทางเอสซีจีภายใต้หัวเรือคนใหม่ "รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย

โดย...โชคชัย สีนิลแท้

เปิดตัวในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง องค์กรชั้นนำระดับยอดขายแสนล้านบาทของประเทศอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย หรือเอสซีจี ซึ่งมาสืบทอดตำแหน่งผู้นำต่อจาก “กานต์ ตระกูลฮุน” ที่เกษียณอายุ โดยมีโจทย์ใหญ่ผลักดันให้เอสซีจีเป็นองค์กรชั้นนำด้านนวัตกรรมเพื่อแข่งขันในระดับโลก ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่ต้องเร่งปรับตัวรองรับการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ

โดยเฉพาะตลาดอาเซียน แม้จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาน้อยมากก็ตาม แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือการแข่งขันของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่เหล่านี้ จะเริ่มรุนแรงมากขึ้นตามไปด้วย หัวใจสำคัญที่จะทำให้บริษัทสามารถแข่งขันอยู่ได้นั้น คือ “นวัตกรรม” หรือการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตการเพิ่มสินค้าใหม่ รวมไปถึงบริการใหม่ๆ โดยในปี 2558 ที่ผ่านมาเอสซีจีได้มีการลงทุนงบวิจัยและพัฒนา หรืออาร์แอนด์ดีไปกว่า 3,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 30% หรือคิดเป็น 0.8% ของยอดขายรวม และในปีนี้ได้เพิ่มงบอาร์แอนด์ดีมากกว่า 1% ของยอดขายรวม จากยอดขายกว่า  4.39 แสนล้านบาท  พร้อมกับผลักดันสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาในอาเซียนด้วย

สอดคล้องกับนโยบายการดำเนินงานของเอสซีจีที่จะเน้นตลาดดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมาได้เข้าไปลงทุนในเวียดนาม และล่าสุดได้เข้าไปเพิ่มการลงทุน ในบริษัท ไพร์ม กรุ๊ป  ซึ่งเป็นผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกชั้นนำของเวียดนาม จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 100% รวมถึงการลงทุนสร้างโรงงานปูนซีเมนต์ในอินโดนีเซียที่สามารถดำเนินการได้ครบปีและขยายการก่อสร้างโรงงานปูนซีเมนต์แห่งที่สองในกัมพูชา  ส่วนโรงงานปูนซีเมนต์ในเมียนมาจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ในช่วงกลางปีนี้

รุ่งโรจน์ กล่าวว่า หากพิจารณาจากทั้งปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศ บริษัทต้องปรับการทำงานให้เข้มแข็งและรวดเร็วขึ้น เช่น ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ปัจจุบันบริษัทมีฐานการผลิตมากขึ้น เมื่อเทียบกับหลายๆ ปีที่ผ่านมา รวมทั้งมีการลงทุนต่อเนื่องในเรื่องของการพัฒนาสินค้าให้เหมาะกับสภาพตลาด รวมถึงการผลิตสินค้าให้เหมาะกับตลาดแต่ละประเทศ อย่างในประเทศอินโดนีเซียซึ่งกำลังพัฒนาประเทศใหม่ จึงมีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในปริมาณมาก

ขณะเดียวกันจะต้องพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย เช่น ในเมียนมา ก็จะไปลงทุนเพิ่มเติมในส่วนของร้านค้าวัสดุก่อสร้าง เนื่องจากตลาดในเมียนมานั้นมีการเติบโตสูงมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขทางเศรษฐกิจประเทศเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี ซึ่งจะมองเรื่องการลงทุนอย่างเดียวไม่ได้ แต่จะต้องนำการทำตลาดเข้าไปส่งเสริมการขายด้วย

ทางด้านธุรกิจแพ็กเกจจิ้งหรือบรรจุภัณฑ์ จะเห็นว่าบริษัทมีการลงทุนเพิ่มสินค้าใกล้ตัวผู้บริโภคที่มีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันสามารถผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่แค่จากเยื่อไม้ หรือกระดาษ แต่มีการออกแบบให้เหมาะกับความต้องการของตลาดอาเซียน ซึ่งมีความหลากหลายในการใช้งานมากขึ้น  

ทั้งนี้ เห็นได้จากผลการดำเนินธุรกิจของบริษัทในอาเซียนในปี 2558 ที่ผ่านมา มีรายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียนและจากการส่งออกไปยังอาเซียนกว่า  1 แสนล้านบาท คิดเป็น 23% ของรายได้รวมใกล้เคียงกับปีก่อน โดยเป็นรายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียนกว่า 4.7 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 11% ของรายได้รวมเติบโต 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายได้จากการส่งออกไปยังอาเซียนกว่า 5.2 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 12% ของรายได้รวมลดลง 6% จากปีก่อนจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง

ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์รวมในอาเซียน นอกเหนือจากไทย ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2558 มูลค่า 1.08 แสนล้านบาท หรือประมาณ 21% ของสินทรัพย์รวมของบริษัท

สำหรับแผนการลงทุนระยะ 5 ปี นับจากปี 2559-2563 นั้นเอสซีจีได้ตั้งงบเงินลงทุนประมาณ 2-2.5 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ย 5 หมื่นล้านบาท/ปี ซึ่งจะใช้ลงทุนทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะการขยายโครงการโรงปูนซีเมนต์ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษาเรื่องการเข้าไปซื้อกิจการในธุรกิจที่บริษัทสนใจในภูมิภาคด้วย และงบประมาณส่วนหนึ่งจะใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ปรับปรุงเรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการใช้พลังงาน

รุ่งโรจน์ ประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยเท่าที่พิจารณาดูมีแนวโน้มดีขึ้น ปัจจัยหลักนั้นมาจากการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งเท่าที่พิจารณาดูนั้นมาจากงานโครงสร้างพื้นฐานที่จะเกิดมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2559 จะทำให้ความต้องการสินค้ามีมากขึ้น รวมทั้งความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ และของนักลงทุนด้วย จะส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ เช่น เศรษฐกิจจีนนั้นจะมีผลทางการแข่งขันในตลาดโลกและความต้องการสินค้า

ขณะที่ปัญหาภัยแล้งซึ่งมีผลกระทบกับภาคสังคมและธุรกิจ หวังว่าภาครัฐจะมีนโยบายออกมาบรรเทาหรือแก้ปัญหาในระยะยาว ซึ่งขณะนี้ยังไม่ส่งผลกระทบให้บริษัทต้องปิดโรงงาน อย่างกรณีมาบตาพุดเคยเกิดปัญหาในช่วงหลายปีก่อน แต่ก็ไม่ถึงต้องหยุดโรงงาน

ทางด้านธุรกิจปูนซีเมนต์คาดจะเติบโต 3-5% จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ซึ่งจะมีผลมากขึ้นในครึ่งปีหลัง แต่ก็จะมีความเสี่ยงที่ครึ่งปีแรกภาวะการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น จากกําลังการผลิตใหม่ของคู่แข่งมากขึ้นอีกทั้งการผลิตปูนซีเมนต์ของเอสซีจีต้องเพิ่มขึ้นด้วย

แม้ว่าจะยังมีปัจจัยลบมารุมเร้า แต่บริษัทประเมินว่ารายได้ในปีนี้จะสามารถเติบโตได้ 5-10% โดยมุ่งหวังตลาดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ซึ่งมีการประเมินแล้วว่ารายได้จากเมียนมากับเวียดนาม ซึ่งหากพิจารณาในตอนนี้เวียดนามเป็นประเทศที่มีการลงทุนมากที่สุด เนื่องจากยอดขายแซงอินโดนีเซีย

นี่เป็นอีกก้าวย่างที่น่าจับตากับภารกิจของแม่ทัพใหม่ในการนำพาเอสซีจีไปสู่เป้าหมาย