posttoday

ชลภัทร นฤนาทวานิช การบริหารเวลาคือสิ่งสำคัญ

16 พฤษภาคม 2560

ในวันที่ท้องฟ้ามืดครึ้มมีฝนพรำทั่วทั้งกรุงเทพฯ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคที่จะได้ไปสัมภาษณ์ชายหนุ่มรูปหล่อร่างสูงใหญ่

โดย...อณุสรา ทองอุไร ภาพ วิศิษฐ์ แถมเงิน

ในวันที่ท้องฟ้ามืดครึ้มมีฝนพรำทั่วทั้งกรุงเทพฯ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคที่จะได้ไปสัมภาษณ์ชายหนุ่มรูปหล่อร่างสูงใหญ่ หน้าตายิ้มแย้ม ใจดี เขาเป็นชายหนุ่มวัยไม่ถึง 30 ปี เป็นนักบินของสายการบินแห่งชาติ สายการบินไทยรักคุณเท่าฟ้า นิก-ชลภัทร นฤนาทวานิช เขาเป็นนักบินที่ 2 ของการบินไทยได้ 2 ปีกว่า ซึ่งเป็นอาชีพที่เขาใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก

นอกจากนี้ เขายังมีอีกบทบาทหนึ่งในการช่วยธุรกิจของครอบครัวที่ทำธุรกิจทางด้านผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม โดยเขาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท บิวตี้ไลน์ ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม Paul Mitchell และยังมีร้านทำผมอยู่ 2 สาขาในชื่อ Beauty Line และโรงเรียนสอนทำผมชื่อ Pivot Point ซึ่งเปิดมานานกว่า 15 ปี

เขาบอกว่าที่จริงแล้วทางครอบครัวอยากให้เขามาเป็นนักธุรกิจมากกว่าจะมาเป็นนักบิน แต่การเป็นนักบินนั้นเป็นความฝันวัยเด็กของเขาที่ชอบเครื่องบิน และเคยเห็นว่าช่วงหนึ่งคุณพ่อของเขาเองก็เคยเป็นนักบินเหมือนกัน

ชลภัทร นฤนาทวานิช การบริหารเวลาคือสิ่งสำคัญ

 

“คุณพ่อผมเองท่านก็เคยเป็นนักบินอยู่ช่วงหนึ่ง แต่เมื่อที่บ้านขยายธุรกิจ ท่านถูกเรียกตัวมาช่วยธุรกิจที่บ้านก็เลยต้องออกมาทำธุรกิจของที่บ้าน ตัวผมเองที่บ้านก็อยากให้มาช่วยธุรกิจมากกว่า ผมเองก็เรียนมาทางด้านธุรกิจด้วย คิดว่าในอนาคตก็อาจจะทำธุรกิจของตัวเอง แต่ตอนนี้ผมมีใจรักเรื่องการเป็นนักบินมากกว่าก็เลยขอเป็นนักบินไปก่อน แต่ผมก็พอจะบริหารเวลาได้ ก็เป็นนักบินเป็นงานหลัก ช่วยที่บ้านเป็นงานเสริม เพราะเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น นั่งทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมานั่งประจำการที่ทำงานกันตลอดเวลา ก็เลยมีความสุขกับงานที่เราอยากทำและงานที่ต้องทำ รักษาทั้งสองอย่างไว้ได้ ไม่จำเป็นต้องเลือกแล้วทิ้งอีกอย่างที่เราก็ชอบไม่แพ้กัน” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม

ทางด้านการศึกษานั้น เขาจบมัธยมปลายจากโรงเรียนนานาชาติเซนต์จอห์น ปริญญาตรีทางด้านวิศวกรรมอุตสาหการ จากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโท 2 ใบ คือด้านบริหาร ที่มหาวิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจ ประเทศอังกฤษ และทางด้านระบบโลจิสติกส์ ที่มหาวิทยาลัยวอร์ริค ประเทศอังกฤษ

เขาเล่าว่าตอนจบปริญญาตรีเขาก็ช่วยธุรกิจของที่บ้านมาเกือบปี ก่อนที่จะบินไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ เมื่อจบปริญญาโทไปสักพักก็มาสมัครเป็นนักบินที่บริษัท การบินไทย ซึ่งได้ทุนเรียนนักบินอยู่เกือบ 2 ปี หลังจากนั้นก็ได้มาเป็นนักบินผู้ช่วยอีก 1 ปี ซึ่งเป็นอาชีพที่เขาใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก

ชลภัทร นฤนาทวานิช การบริหารเวลาคือสิ่งสำคัญ

 

ชลภัทร กล่าวว่า อาชีพนักบินเป็นอาชีพที่ต้องมีระเบียบวินัยและดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดในเรื่องสุขภาพ เช่น หากมีไฟลต์บินตอนเช้า ก่อนบิน 1 วัน ก็ต้องไม่นอนดึก ไม่อดนอน ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่จะส่งผลต่อสุขภาพ เพียงแค่เป็นหวัดคัดจมูกก็ไม่ควรจะขึ้นบิน เพราะจะส่งผลต่อสมรรถนะในการทำงาน

“ผมต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยต้องให้ได้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แม้จะขี้เกียจอย่างไรก็ต้องฝืนใจไป ตัวผมเองไม่ค่อยชอบออกกำลังกายเท่าไร ก็ต้องเข็นตัวเองไปเข้าฟิตเนสให้ได้ทุกสัปดาห์ พยายามเลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ควบคุมน้ำหนักให้คงที่ โดยเฉพาะช่วงที่ต้องมีบินนั้นต้องดูแลสุขภาพ ไม่ให้เป็นหวัด ไม่ให้ไอ เจ็บคอ ไม่กินอาหารอะไรที่จะทำให้ท้องเสียง่าย คือต้องเตรียมความพร้อมจากร่างกายของเราให้แข็งแรงเป็นลำดับแรกก่อน ถึงจะไปรับผิดชอบงานให้ดีที่สุด รับผิดชอบชีวิตคนอื่นให้ดีที่สุดได้” เขากล่าวอย่างตั้งใจ

ก่อนการบินทุกครั้งเขาจะต้องทำการบ้านก่อนทุกครั้งว่าต้องบินไปที่ไหน เช้าหรือดึก เวลาอะไร เพื่อทบทวนและเตรียมการทำงาน เนื่องจากสนามบินแต่ละแห่งก็มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันไป แต่ละสนามบินมีกฎไม่เหมือนกัน ต้องทำการบ้านไว้ก่อนทุกครั้งเป็นดีที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดการผิดพลาดแม้เพียงเรื่องเล็กน้อย

ชลภัทร นฤนาทวานิช การบริหารเวลาคือสิ่งสำคัญ

 

ทางด้านส่วนตัวนั้น เขาชอบอ่านหนังสือการ์ตูนของมาร์เวล อย่างเรื่องราวของไอรอนแมน ชอบอ่านอะไรที่เป็นแนวแอดเวนเจอร์ กึ่งๆ วิทยาศาสตร์แบบหนังไซไฟ นอกจากนี้เขาก็ชอบดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ เรียกว่าติดกาแฟมาก ต้องดื่มทุกวัน มีร้านกาแฟที่ไหนใครว่าอร่อยจะต้องตามไปชิม เวลาไปไหนไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศ ถ้ามีกาแฟเด็ดกาแฟดังจะตามไปซื้อกลับมาดื่มที่บ้าน ถึงขนาดซื้อเครื่องชงอย่างดีไว้ที่บ้านกันเลยทีเดียว อย่างน้อยต้องดื่มวันละ 2 แก้ว

เขาเคยคิดเล่นๆ ว่า ถ้าอนาคตหากจะทำธุรกิจอะไรสักอย่าง ที่นอกเหนือจากธุรกิจของครอบครัว เขาคิดว่าที่น่าสนใจและเหมาะกับเขามากที่สุดก็น่าจะเป็นการเปิดร้านกาแฟนั่นเอง เพราะทั้งชอบดื่มกาแฟและมีความลุ่มหลงในรสชาติของกาแฟจนถอนตัวไม่ขึ้น

สำหรับงานอดิเรกนั้น เขาชอบเล่นดนตรี ตอนเรียนมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัยเขาเล่นดนตรีมาโดยตลอด ทั้งกีตาร์และเปียโน และมีวงดนตรีเล็กๆ แนวร็อกเป็นของตัวเอง ชื่อวง บียอนอพอลโล เคยมีเอ็มวีเป็นของตัวเอง 3-4 เพลง เผยแพร่ในยูทูบ มีคนเข้ามาดูหลายหมื่นคนอยู่เหมือนกัน เขามีส่วนร่วมในการเล่นเพลงเอง แต่งเพลงเอง ร้องนำเองในบางเพลง

“มันเป็นวงตอนเราเป็นวัยรุ่น โตขึ้นแนวเพลงก็อาจจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ยังชอบแนวร็อกๆ อยู่ แต่ตอนนี้อาจจะแก่ไปแล้วสำหรับการเป็นร็อกแบบหนักๆ (หัวเราะ)”

นอกจากนี้ เขายังกล่าวต่อไปถึงอนาคตอันใกล้นี้ ที่เขากำลังจะแต่งงานปลายปีนี้ และสร้างครอบครัวเล็กๆ ให้อบอุ่น เตรียมเป็นพ่อที่ดี มีลูกเล็กๆ สัก 2 คน และช่วยทำธุรกิจของครอบครัวให้แข็งแรงมั่นคงมากยิ่งขึ้น

ชลภัทร นฤนาทวานิช การบริหารเวลาคือสิ่งสำคัญ

 

เขามีแผนการที่จะเปิดสาขาของร้านทำผมเพิ่มอีกอย่างน้อย 2-3 ร้าน ภายใน 2 ปีนี้ โดยเน้นไปที่ห้างใหญ่ใจกลางเมือง เน้นกลุ่มเป้าหมายระดับบีขึ้นไป รวมทั้งสร้างชื่อเสียงของโรงเรียนให้กว้างขวางเป็นที่รู้จักและยอมรับมากยิ่งขึ้น

“ทางครอบครัวก็อยากให้ผมมาช่วยเต็มตัว จะได้ตั้งใจขยายร้านหาสาขาเพิ่มขึ้นสัก 2-3 สาขา ภายใน 2 ปีนี้ รวมทั้งโปรโมทโรงเรียนเพิ่มยอดนักเรียนเพิ่มขึ้น เพราะไม่ได้มีแผนงานที่จะใช้กระตุ้นเตือนมานานแล้ว ซึ่งปีหน้าเขาจะมาช่วยดูแลเรื่องนี้ให้เป็นจริงเป็นจังมากยิ่งขึ้น ส่วนปลายปีนี้ไม่มีเวลาเพราะยุ่งเรื่องงานแต่งงาน (หัวเราะ) ค่อยๆ จัดการทีละเรื่องไป” เขากล่าวอย่างมีความสุข

ทางด้านหลักในการทำงานของเขาก็คือ เลือกทำในสิ่งที่รัก และรักในสิ่งที่ทำ เนื่องจากว่าหากเราทำในสิ่งที่รักเราจะมีความสุขทุกวัน ไปทำงานเหมือนไปทำกิจกรรมที่มีความสุข ไม่ต้องฝืนใจไปทำงาน รวมทั้งมีความตั้งใจและเต็มที่กับงานที่เราเลือกแล้วหมั่นฝึกฝนเรียนรู้กับสิ่งที่ทำอยู่สมอ โลกนี้มีเรื่องใหม่ๆ ให้เรียนรู้ทุกวัน เปิดใจและทำงานด้วยความตั้งใจ

เมื่อเจอปัญหาอุปสรรคก็อย่าท้อถอยหรือถอดใจ ค่อยๆ แก้ไขไปทีละเรื่อง ปัญหาทุกปัญหาแก้ไขได้เสมอ  อาจใช้เวลามากน้อยแตกต่างกันไป เพียงแค่มองโลกแง่ดีเข้าไว้ อย่าใจร้อนหรือเจ้าอารมณ์เกินไปทุกอย่างจะดีขึ้นเอง

“ผมเชื่อในเรื่องการมองโลกในแง่ดี ยิ้มรับกับทุกปัญหา ถ้าเรามองแง่ดีปัญหาที่ว่าหนักก็ค่อยๆ แก้ไปได้ ถ้าใจร้อน เครียด กังวลมากไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ปัญหาเดียวกัน คนมองโลกแง่ดีจะแก้ปัญหาได้ดีกว่า เพราะเขาทำใจได้ง่ายและคิดบวก ขณะที่คนคิดลบจะใช้เวลาในการแก้ปัญหามากกว่า และจมอยู่กับปัญหานานกว่า ผมจึงเลือกที่จะยิ้มรับกับปัญหาดีกว่าครับ” เขาให้ความเห็นทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม