posttoday

การค้าเอเชียพุ่งทะยานส่งออกญี่ปุ่นฟื้นสูงสุดในรอบ9ปี

21 เมษายน 2560

ส่งออกญี่ปุ่นฟื้นตัวแรงสุดนับตั้งแต่ปี 2008 สะท้อนเศรษฐกิจสดใส ยังหวั่นนโยบายทรัมป์ฉุด

ส่งออกญี่ปุ่นฟื้นตัวแรงสุดนับตั้งแต่ปี 2008 สะท้อนเศรษฐกิจสดใส ยังหวั่นนโยบายทรัมป์ฉุด

การส่งออกญี่ปุ่นปรับขึ้น 12% ในเดือน มี.ค. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 7.23 ล้านล้านเยน (ราว 2.1 ล้านล้านบาท) ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2008 ขณะที่การนำเข้าปรับขึ้น 15.8% เป็น 6.61 ล้านล้านเยน (ราว 1.9 ล้านล้านบาท) ส่งผลให้การค้าญี่ปุ่นเกินดุลเดือน มี.ค.อยู่ที่ 6.14 แสนล้านเยน (ราว 1.8 แสนล้านบาท)

ทั้งนี้ ในภาพรวมของปีงบประมาณ 2016 การค้าญี่ปุ่นเกินดุลอยู่ที่ 4.01 ล้านล้านเยน (ราว 1.2 ล้านล้านบาท) หรือเกินดุลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะในปี 2011 ที่ทำให้ญี่ปุ่นต้องนำเข้าพลังงานมากขึ้น โดยการค้าเกินดุลดังกล่าวเป็นผลมาจากมูลค่านำเข้าที่ปรับลดลงมากหลังน้ำมันถูกลง

สำหรับการส่งออกที่ฟื้นตัวขึ้นส่งผลต่อมุมมองภาคธุรกิจ โดยรอยเตอร์สรายงานว่าญี่ปุ่นจะเพิ่มมาตรฐานการประเมินความเชื่อมั่นภาคธุรกิจสำหรับเดือน เม.ย. หลังผลสำรวจของธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) หรือทันคัน พบว่ามุมมองต่อเศรษฐกิจของผู้ผลิตรายใหญ่ปรับตัวดีขึ้นติดต่อกัน 2 ไตรมาส และแตะจุดสูงสุดในรอบ 1 ปีครึ่ง

มาซากิ คุวาฮาระ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของโนมูระ ซีเคียวริตี้ เปิดเผยว่า การผลิตและการส่งออกญี่ปุ่นที่ปรับตัวขึ้นสะท้อนการฟื้นตัวของภาคการผลิตในภาครวม โดยประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียต่างทำผลงานได้ดีเช่นกัน ซึ่งช่วยการส่งออกของญี่ปุ่น

ขณะเดียวกัน การส่งออกของไต้หวันในเดือน มี.ค.ปรับขึ้น 12.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามหลังเดือน ก.พ.ที่ปรับขึ้น 22% ส่งผลให้การส่งออกตลอดไตรมาสแรกที่ผ่านมาปรับขึ้น 12.6% โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกไปจีนที่ปรับขึ้นเกือบ 20% ในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ตามหลังเดือน ก.พ.ที่ปรับขึ้นถึง 40%

อย่างไรก็ตาม การค้าที่ฟื้นตัวของเอเชียที่ช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอาจเผชิญอุปสรรคจากนโยบายปกป้องการค้าโดยเฉพาะจากสหรัฐได้ โดย ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ เดินทางเยือนประเทศเอเชีย ได้แก่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย เพื่อพูดคุยด้านความมั่นคงและการค้า

เพนซ์เดินทางถึงอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมาและกล่าวว่า ต้องการให้การค้าระหว่างสหรัฐและอินโดนีเซียมีความยุติธรรมมากขึ้น เพื่อให้ได้ประโยชน์ร่วมทั้งสองฝ่าย โดยอินโดนีเซียเป็น 1 ใน 16 ชาติ ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งพิเศษเปิดการสอบสวนการค้าเกินดุลกับสหรัฐ ขณะที่ยังระบุว่า ทั้งสองชาติจะร่วมมือในการต่อสู้กับก่อการร้าย

ขณะเดียวกันทรัมป์สั่งให้มีการสอบสวนการนำเข้าเหล็กจากต่างชาติกระทบกับความมั่นคงหรือไม่ โดยตามกฎหมายการขยายการค้าปี 1962 เปิดทางให้ประธานาธิบดีสามารถจำกัดการนำเข้าสินค้าจากต่างชาติได้หากเป็นไปเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ

รอยเตอร์ส รายงานอ้างแหล่งข่าวจากภายในรัฐบาลของทรัมป์ว่าการสืบสวนดังกล่าวไม่ได้เจาะจงประเทศใดเป็นพิเศษ แต่เจาะจงไปที่ผลิตภัณฑ์ เช่น เหล็กแผ่นที่ใช้ผลิตเกราะเรือรบ ซึ่งถือเป็นประเด็นความมั่นคงของชาติ