posttoday

ทรัมป์เร่งเงินไหลออกเอเชีย

12 พฤศจิกายน 2559

ค่าเงินในเอเชียร่วงทุบสถิติระนาว แบงก์ชาติเข้าพยุงเสถียรภาพ หวั่นนโยบายทรัมป์ดันเงินไหลออกเร็วกว่าเดิม

ค่าเงินในเอเชียร่วงทุบสถิติระนาว แบงก์ชาติเข้าพยุงเสถียรภาพ หวั่นนโยบายทรัมป์ดันเงินไหลออกเร็วกว่าเดิม

บลูมเบิร์กและรอยเตอร์ส รายงานว่า ธนาคารกลางในหลายประเทศเอเชียต้องเข้าแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อพยุงค่าเงินของตนเอง วันที่ 11 พ.ย. หลังจากที่เงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้นทำสถิติเมื่อเทียบกับหลายสกุลเงิน เนื่องจากตลาดคาดว่านโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ อาจเร่งให้เกิดภาวะทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่กลับไปยังสหรัฐเร็วขึ้น

รายงานระบุว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้เข้าแทรกแซงหลังจากที่เงินรูเปียห์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง จนลงไปทุบสถิติต่ำสุดรอบ 17 ปี หรือนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 1998 ที่ 13,265 รูเปียห์/เหรียญสหรัฐ ระหว่างการซื้อขาย วันที่ 11 พ.ย. ขณะที่ค่าเงินริงกิต มาเลเซีย อ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบกว่า 12 ปี หรือนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2004 โดยดิ่งลงไปถึง 3.7% ในการซื้อขายที่ตลาดออฟชอร์แตะระดับ 4.5395 ริงกิต/เหรียญสหรัฐ  

นานัง เฮนดาร์ซาห์ ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดเงินธนาคารกลางอินโดนีเซีย กล่าวว่า ธนาคารพร้อมเข้าแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อพยุงค่าเงิน แต่ก็ยังไม่เห็นภาวะทุนไหลออกในปริมาณมาก และเชื่อว่าความผันผวนนี้จะเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น

แหล่งข่าวจากนักค้า 2 รายในมุมไบ เปิดเผยว่า ธนาคารกลางอินเดียได้ให้ธนาคารของรัฐเทขายเงินเหรียญสหรัฐออกมา เพื่อช่วยพยุงค่าเงินรูปีที่อ่อนค่าลงต่ำสุดรอบ 7 สัปดาห์ อยู่ที่ 67.105 รูปี/เหรียญสหรัฐ ขณะที่ฝั่งค่าเงินวอน เกาหลีใต้ อ่อนค่าราว 1.6% มาอยู่ที่ 1,168.40 วอน/เหรียญสหรัฐระหว่างการซื้อขาย หรืออ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบกว่า 4 เดือน

ด้านธนาคารกลางสิงคโปร์ ออกแถลงการณ์ระบุว่า พร้อมเข้าควบคุมความผันผวนที่มากเกินไปต่อเงินเหรียญสิงคโปร์หากมีความจำเป็น หลังจากที่เงินเหรียญสิงคโปร์อ่อนค่าต่ำสุดในรอบ 9 เดือน ไปแตะระดับ 1.4158 เหรียญสิงคโปร์/เหรียญสหรัฐ ท่ามกลางแรงเทขายสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่เป็นวงกว้าง 

ทั้งนี้ ตลาดเชื่อว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 17.6 ล้านล้านบาท) จะทำให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จนส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 2% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ม.ค.ปีนี้

การคาดการณ์ถึงผลกระทบจากนโยบายต่างๆ ของทรัมป์ ยังทำให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้นสูงสุดทุบสถิติ เมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากเชื่อว่าภาคธุรกิจจะได้ประโยชน์จากแผนการลดภาษีของทรัมป์ ทำให้เกิดความกังวลอีกด้านขึ้นว่า จะทำให้เกิดเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่กลับไปเก็งกำไรในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรสหรัฐเร็วขึ้น จากเดิมที่อิงอยู่กับปัจจัยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะขึ้นดอกเบี้ยเป็นหลัก  

ขณะที่สถานการณ์ในสหรัฐนั้น ยังคงเกิดการประท้วงไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ในหลายเมืองใหญ่ทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกที่เป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต โดยเฉพาะในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ซึ่งมีผู้ชุมนุมประท้วงกว่า 4,000 คน ตำรวจได้เรียกการประท้วงว่าเป็นการจลาจล เนื่องจากมีการบานปลายเป็นความรุนแรง ทั้งการทำลายรถยนต์ การปล้นร้านค้าในบริเวณใกล้เคียง การทำลายทรัพย์สินและขว้างปาสิ่งของใส่ตำรวจ 

ซีเอ็นบีซีรายงานอ้าง อินทรา นูยี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเป๊ปซี่ โค ว่า บรรดาพนักงานหลายคนที่เป็นผู้อพยพ แม้แต่ลูกสาวของตนเองซึ่งเป็นคนเชื้อชาติอินเดีย ต่างก็สอบถามและแสดงความวิตกถึงอนาคตหลังจากที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง

ทั้งนี้ ทรัมป์ได้เข้าพบประธานาธิบดี บารัก โอบามา ที่ทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 10 พ.ย. เพื่อพูดคุยถึงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่ โดยโอบามายังระบุถึงกระแสการประท้วงที่เกิดขึ้นว่า แม้ประชาชนจะมีสิทธิทำได้โดยไม่ใช้ความรุนแรง แต่ก็ขอให้คำนึงถึงประเทศชาติด้วย