ปรับเพิ่มความรุนแรงดินไหวเป็น9ริกเตอร์

กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นปรับเพิ่มความรุนแรงจากเหตุแผ่นดินไหวเป็น 9 ริกเตอร์ ตร.คาดยอดผู้เสียชีวิตอาจสูงเกินหลักหมื่นคน ขณะที่นานาชาติส่งทีมเข้าร่วมช่วยเหลือ 

กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ปรับประมาณการณ์ความรุนแรงของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นนอกชายฝั่งเมืองเซนไดเมื่อวันที่  11 มี.ค.จาก 8.8 ริกเตอร์ เป็น 9.0 ริกเตอร์แล้ว โดยแผ่นดินไหวครั้งนี้อยู่ในระดับ 9 หรือ ระดับทำลายล้าง ที่ทำให้สิ่งปลูกสร้างพังเสียหาย ซึ่งแผ่นดินไหวครั้งนี้ถือว่ามีความรุนแรงเป็นอันดับ 4 ของโลก หรือรุนแรงเท่ากับเหตุแผ่นดินไหวที่ คาบสมุทรคัมชัทกา ประเทศรัสเซียเมื่อปี 2495 ขณะที่อันดับ 1 เป็นแผ่นดินไหวในประเทศชิลีในปี 2503 วัดได้ 9.5 ริกเตอร์ อันดับ 2 ได้แก่ที่สหรัฐปี 2507 วัดได้ 9.2 ริกเตอร์ และอันดับ 3 เกาะสุมาตรา อินโดนีเซียในปี 2547 วัดได้ 9.1 ริกเตอร์

ด้าน นาโอโตะ ทาเกอุจิ ผู้กำกับการตำรวจจังหวัดมิยางิ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอ็นเอชเค โดยแสดงความมั่นใจว่า ยอดผู้เสียชีวิตในจังหวัดมิยางิ จะสูงถึงหลักหมื่นอย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากเป็นจุดที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดจากแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ       

ขณะที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่น ประกาศยอดผู้เสียชีวิตล่าสุด 688 ราย จนถึงช่วงเช้าวันนี้ (13มี.ค.) โดยมีผู้สูญหาย 642 คน บาดเจ็บอีก 1,570 คน แต่ตัวเลขดังกล่าวยังไม่นับรวมศพผู้เสียชีวิตอีกประมาณ 400-500 ศพ ที่ถูกคลื่นซัดเข้ามาเกยหาดทางตะวันออกเฉียงเหนือ

นอกจากนี้มีการแจ้งว่ายังไม่สามารถติดต่อประชาชนในเมืองมินามิซันริขุ ซึ่งเป็นเมืองท่าเล็กๆที่ถูกคลื่นสึนามิถล่มอีกถึง 1หมื่นคน

ส่วนรายงานความเสียหายเบื้องต้นพบว่า บ้านเรือนและอาคารอย่างน้อย 20,820 หลัง ถูกคลื่อนสึนามิพัดทำลาย รวมทั้งเกิดดินถล่มถึง 60 จุด และประชาชนต้องอพยพออกจากบ้านเรือนมากกว่า 3 แสนคนใน 5 จังหวัด

ด้าน นาย นาโอโตะ คัง นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้สั่งให้กระทรวงกลาโหมเพิ่มกำลังทหารอีกเท่าตัวเป็น 1 แสนนายเข้าไปให้การช่วยเหลือกู้ภัยและบรรเทาทุกข์ในพื้นที่ประสบภัยและเตรียมเดินทางลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายด้วยตัวเอง ด้านความช่วยเหลือจากนานาชาติ ขณะนี้มีประเทศต่างๆราว 69 ชาติ และ อีก 5 องค์กรบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศได้ส่งทีมกู้ภัยและช่วยเหลือไปยังประเทศญี่ปุ่นแล้ว

ขณะที่ บริษัทประกันภัย ประเมินว่า ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินจากแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งนี้ อาจทำให้บริษัทประกันภัยทั้งหลายต้องชดเชยความเสียหายรวมประมาณ 10,000-50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ