posttoday

'ลิเบีย'...สังหารหมู่ รัฐกราดกระสุน-ผู้ประท้วงลั่น ไม่เลิก

21 กุมภาพันธ์ 2554

ลิเบียถึงจุดเดือด รัฐบาลส่งสไนเปอร์ ยิงปืนใหญ่ กราดยิงจากเฮลิคอปเตอร์ใส่ผู้ประท้วง ตายแล้วนับร้อยศพ แต่ประชาชนลั่นไม่กลัว เดินหน้ายกระดับการชุมนุม

ลิเบียถึงจุดเดือด รัฐบาลส่งสไนเปอร์ ยิงปืนใหญ่ กราดยิงจากเฮลิคอปเตอร์ใส่ผู้ประท้วง ตายแล้วนับร้อยศพ แต่ประชาชนลั่นไม่กลัว เดินหน้ายกระดับการชุมนุม

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ

 

'ลิเบีย'...สังหารหมู่ รัฐกราดกระสุน-ผู้ประท้วงลั่น ไม่เลิก

ลิเบียถึงจุดเดือด รัฐบาลส่งสไนเปอร์ ยิงปืนใหญ่ กราดยิงจากเฮลิคอปเตอร์ใส่ผู้ประท้วง ตายแล้วนับร้อยศพ แต่ประชาชนลั่นไม่กลัว เดินหน้ายกระดับการชุมนุม

ผู้ประท้วงชาวลิเบียประกาศลั่นเดินหน้าประท้วงขับไล่ประธานาธิบดี โมอัมมาร์ กัดดาฟี ต่อไปเมื่อวันที่ 20 ก.พ. แม้ว่ารัฐบาลจะใช้กำลังเข้ากวาดล้างการชุมนุมจนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยกลุ่มผู้ประท้วงยืนยันว่า ยิ่งปราบปรามยิ่งทำให้การรวมตัวขับไล่ผู้นำประเทศนั้นยกระดับสูงขึ้นและมีพลังมากขึ้น

การประท้วงได้ระเบิดขึ้นเป็นความรุนแรงที่เมืองเบงกาซี เมืองใหญ่อันดับ 2 ทางตะวันออกของลิเบีย โดยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้เกิดการปะทะนองเลือดขึ้นระหว่างเจ้าหน้าที่และกลุ่มผู้ประท้วง อีกทั้งยังมีการส่งมือปืนซุ่มยิงหรือสไนเปอร์ ซุ่มทำร้ายผู้ประท้วง โดยจะส่องยิงมาจากป้อมฐานที่มั่นต่างๆ ที่กระจายอยู่รอบเมือง

“มีคนตายจำนวนมาก เราอยู่ท่ามกลางการสังหารหมู่ที่นี่” ชาวบ้านผู้หนึ่ง กล่าว

“มีคนจำนวนมากที่ต้องสังเวยชีวิตเพื่อเสรีภาพของพวกเขา เป้าหมายของเราไม่มีอะไรมากนัก เราต้องการให้กัดดาฟีลาออก เราต้องการเสรีภาพ เราต้องการประชาธิปไตย” หนึ่งในผู้ประท้วง กล่าวลั่น

ทั้งนี้ ผู้ประท้วงคนดังกล่าวซึ่งไม่เปิดเผยนาม ยังได้ติดตั้งกล้องวิดีโอออนไลน์แพร่ภาพสถานการณ์ในเมืองเบงกาซีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพบว่าจำนวนผู้ออกมาร่วมประท้วงนั้นเพิ่มขึ้นราว 20% นับตั้งแต่การประท้วงได้ปะทุขึ้นเมื่อวันอังคารที่แล้ว

 

'ลิเบีย'...สังหารหมู่ รัฐกราดกระสุน-ผู้ประท้วงลั่น ไม่เลิก

นอกจากนั้น ที่เมืองมิสราตาห์ ห่างจากกรุงตริโปลี ไปทางตะวันออกราว 250 กิโลเมตรนั้น ผู้ประท้วงราว 1,300 คน ก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้ต่อไป และยังได้จุดไฟเผารูปประธานาธิบดีกัดดาฟีด้วย

ด้านสำนักข่าวจานา ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลลิเบีย ได้กล่าวหาว่า มีผู้ไม่ประสงค์ดีจากนอกประเทศที่ส่งเสริมยั่วยุให้เกิดความไม่สงบขึ้นในลิเบีย ประเทศที่โดดเดี่ยวตัวเองมากที่สุดในตะวันออกกลาง โดยรายงานของลิเบียระบุว่า การยุแยงจากภายนอกครั้งนี้นั้นมีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายของอิสราเอล ที่ต้องการให้เกิดความวุ่นวายในลิเบีย รวมตูนิเซีย โมร็อกโก ซูดาน อียิปต์ เลบานอน และอิหร่าน

นับตั้งแต่วันพุธที่แล้ว รัฐบาลลิเบียได้จับกุมชาวต่างชาติจำนวนมาก โดยรายงานระบุว่า ล้วนแต่เป็นคนที่มาจากเครือข่ายดังกล่าวซึ่งถูกฝึกฝนให้ก่อความวุ่นวายมาเป็นอย่างดี โดยทั้งหมดมีสัญชาติตูนิเซีย อียิปต์ ซูดาน ตุรกี ปาเลสไตน์ และซีเรีย

ขณะเดียวกันทางด้านกลุ่มจับตาสิทธิมนุษยชน (ฮิวแมน ไรท์ วอทช์) รายงานอ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลต่างๆ และพยานในเหตุการณ์ ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากการประท้วงแล้วถึง 84 คนเป็นอย่างน้อย และได้รับบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก ขณะที่แหล่งข่าวจากทางการแพทย์ ในเมืองมิสราตาห์ เปิดเผยกับซีเอ็นเอ็นว่า มีผู้เสียชีวิตในเมืองดังกล่าวอีก 3 คน และบาดเจ็บอีกราว 70 คน

นอกจากนั้น เฉพาะเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาซึ่งเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงนั้น มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 30 คน โดยส่วนใหญ่ถูกยิงที่บริเวณศีรษะ หลังจากที่ฝ่ายรัฐบาลนำเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินและกราดยิงใส่ฝูงชน

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้เสียชีวิตดังกล่าวยังไม่รวมจำนวนผู้เสียชีวิตจากการปะทะที่เกิดขึ้นบริเวณค่ายทหารแห่งหนึ่งด้วย หลังจากที่ทหารได้สาดกระสุนจริงและแก๊สน้ำตาใส่ผู้ประท้วงที่ใช้หินและระเบิดมือปาตอบโต้

“สถานการณ์เข้าสู่ภาวะวิกฤตอย่างที่สุด ทั้งเมืองเป็นอัมพาตไปหมด” แพทย์ประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองเบงกาซี กล่าว

ด้าน พ.ท.โมฮัมเหม็ด อัลมาจบารี ซึ่งเป็นผู้นำทัพเข้าคุมสถานการณ์ในเมืองเบงกาซี ก่อนที่จะเพิ่งตัดสินใจหันมาร่วมกับฝ่ายผู้ประท้วง กล่าวว่า กองกำลังของรัฐบาลนั้นกำลังก่อการสังหารหมู่ขึ้น

“ถึงเวลาแห่งเสรีภาพแล้ว กัดดาฟีไม่ใช่มนุษย์ ไม่เคยมีผู้นำลิเบียคนใดที่จะทำเช่นนี้ต่อประชาชนของเขา กัดดาฟีคือเผด็จการ” อัลมาจบารี กล่าว

นอกจากนั้น พยานในเหตุการณ์หลายรายยังเปิดเผยกับซีเอ็นเอ็นด้วยว่า มีกลุ่มมือปืนที่ใช้รถยนต์เป็นพาหนะคอยสาดกระสุนใส่ผู้ประท้วงหลายครั้งด้วย

“พวกทหาร เราอยู่ข้างพวกเขา เราเชื่อพวกเขา แต่หลังจากนั้นพวกเขากลับยิงประชาชนทำไม ทำไมพวกเขาต้องโกหก” สตรีรายหนึ่ง กล่าว

เนื่องจากลิเบียไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวต่างชาติเข้าประเทศ ทำให้ไม่มีใครสามารถยืนยันสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้

กระนั้นก็ตาม ด้านหนังสือพิมพ์อินดิเพนเดนต์ ในอังกฤษ รายงานว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากการปะทะเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาอาจสูงถึง 200 คน โดยอ้างจากเว็บไซต์เครือข่ายออนไลน์ต่างๆ ที่ทยอยรายงานเป็นระยะ ซึ่งจำนวนนี้รวมถึงยอดผู้เสียชีวิตในกรุงตริโปลีและที่เมืองนาลุตด้วย

ด้านสำนักข่าวอันซา ของอิตาลี รายงานอ้างชาวอิตาเลียนที่อยู่ในเมืองเบงกาซี ว่า สถานการณ์ในเมืองดังกล่าววิกฤตอย่างที่สุด และไม่สามารถควบคุมอะไรได้อีกต่อไป

ขณะที่เว็บไซต์ทวิตเตอร์นั้น ได้มีผู้ทยอยรายงานเข้ามาอย่างต่อเนื่องว่า รัฐบาลลิเบียได้ใช้ทหารรับจ้างจากนอกประเทศ รวมไปถึงเครื่องบินและปืนใหญ่ยิงเข้าใส่ผู้ประท้วง

สถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในตะวันออกกลางนั้น ยังลุกลามไปในอีกหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเยเมน โอมาน คูเวต และจิบูตี เมื่อประชาชนต่างออกมาเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ มีรายงานว่า รัฐบาลซาอุดี…อาระเบียยังได้ควบคุมกลุ่มนักเคลื่อนไหวกลุ่มหนึ่งที่พยายามก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นเป็นพรรคแรกของประเทศด้วย

ขณะเดียวกันที่บาห์เรน ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐและเป็นที่ตั้งของกองเรือที่ 5 ของสหรัฐในตะวันออกกลางนั้น ประชาชนต่างหลั่งไหลเข้าสู่จัตุรัสไข่มุก ใจกลางเมืองหลวงเมื่อวันที่ 20 ก.พ. เพื่อแสดงความยินดีหลังจากที่ตำรวจปราบจลาจลยอมถอยออกจากพื้นที่ และรัฐบาลได้ยอมเปิดประตูให้มีการเจรจากับฝ่ายค้านขึ้นเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปการเมือง

“เราไม่กลัวความตายอีกต่อไป ปล่อยให้พวกเขาใช้กองทัพมาฆ่าพวกเราให้ตาย โลกจะได้เห็นว่าพวกเขานั้นเลวร้ายเยี่ยงไร” อุมม์ โมฮัมเหม็ด ผู้ประท้วงรายหนึ่งซึ่งมีอาชีพครู กล่าว