posttoday

อะไรคือเบื้องหลังที่ทำให้ยุโรปแบนน้ำมันรัสเซียไม่สำเร็จ

07 พฤษภาคม 2565

ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายน้ำมันรัสเซียก็จะมีโอกาสได้เข้าไปในอียูอยู่ดีไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

สหภาพยุโรป (EU) เสนอให้มีการคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซียแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่อาจดำเนินการได้ยาก เนื่องจากเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่ซับซ้อนของยุโรป และความท้าทายในการติดตามน้ำมันดิบเมื่อมีการผสมหรือกลั่นแล้ว

หากได้รับความเห็นชอบจากประเทศสมาชิกแผนดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ใน 6 เดือนสำหรับน้ำมันดิบ และใน 8 เดือนสำหรับน้ำมันดีเซลและผลิตภัณฑ์น้ำมันอื่นๆ

มาตรการคว่ำบาตรของอียูจะเป็นอย่างไร?

ภายใต้ข้อเสนอดังกล่าว ฮังการีและสโลวะเกียจะได้รับการยืดระยะเวลาออกไปจนถึงสิ้นปี 2023 เพื่อปรับตัวกับการคว่ำบาตร ซึ่งหมายความว่าประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรปยังสามารถซื้อน้ำมันของรัสเซียผ่านฮังการีและสโลวะเกียได้ เว้นแต่จะมีการให้สัตยาบันแผนดังกล่าวเพื่อป้องกันไม่ให้ทั้งสองประเทศซื้อน้ำมันเกินความจำเป็น

น้ำมันของรัสเซียจะยังคงอยู่ในยุโรปหลังการแบนหรือไม่?

ประเทศในยุโรปอาจยังคงซื้อน้ำมันรัสเซียจากประเทศที่สามอื่นๆ โดยไม่ทราบที่มา

น้ำมันมักจะถูกตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งกำเนิดโดยพิจารณาจากองค์ประกอบทางเคมีของน้ำมัน เช่น ปริมาณกำมะถันและความหนาแน่น อย่างไรก็ตามจากข้อมูลของแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมน้ำมันพบว่า ผู้ซื้อบางรายเคยถูกหลอกโดยเอกสารปลอม โดยปกปิดที่มาของสินค้าจากประเทศที่ถูกคว่ำบาตร รวมทั้งอิหร่านและเวเนซุเอลา

เรื่องจะยากยิ่งขึ้นหากน้ำมันดิบผสมกับน้ำมันดิบอื่นๆ สำหรับโรงกลั่น และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยหลังจากที่แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มาตรฐาน เช่น น้ำมันเบนซิน ดีเซล หรือน้ำมันเครื่องบิน

ใครบ้างที่กำลังจะเลิกหรือหยุดซื้อน้ำมันของรัสเซีย?

ตามข้อมูลของ JP Morgan พบว่า โรงกลั่นและบริษัทค้าน้ำมันรายใหญ่ของยุโรปอย่างน้อย 26 แห่งระงับการซื้อน้ำมันจากตลาดจร (spot purchase) หรือตั้งใจที่จะเลิกการนำเข้าน้ำมันรัสเซียรวมกัน 2.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ข้อมูลของ Platts ซึ่งเป็นผู้ให้บริการข้อมูลพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ระบุว่า บริษัทในยุโรป เช่น Shell, TotalEnergies, Repsol และ BP ไม่ซื้อผลิตภัณฑ์กลั่นที่มาจากรัสเซียแล้ว โดยสัญญาของ BP ระบุว่าข้อตกลงใดๆ กับผู้ขายที่ละเมิดนโยบายจะถือเป็นโมฆะ

เอกสารที่สำนักข่าว Reuters ได้อ่านระบุว่า บริษัทขนส่งหลายแห่งขอให้มีการค้ำประกันว่าสินค้าไม่มีแหล่งกำเนิดจากรัสเซียหรือมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับรัสเซีย รวมทั้งไม่ได้ถ่ายโอนจากเรือที่มีความสัมพันธ์กับรัสเซีย

ทำไมการติดตามสินค้าของน้ำมันรัสเซียจึงเป็นเรื่องยาก?

แม้จะมีเอกสารข้างต้นครบถ้วนแล้ว แต่ก็ไม่มีการรับประกันว่าจะกำจัดร่องรอยของสารไฮโดรคาร์บอนของรัสเซียเมื่อน้ำมันเข้าสู่ศูนย์กลางการนำเข้าหลักของสหภาพยุโรป ซึ่งก็คือศูนย์กลั่นน้ำมันอัมสเตอร์ดัม-รอตเตอร์ดัม-แอนต์เวิร์ป (ARA) ซึ่งประกอบไปด้วยท่าเรือ 8 แห่งที่กระจายอยู่ใน 2 ประเทศ คลังน้ำมัน 96 แห่ง และแท็งก์เก็บน้ำมัน 6,300 แท็งก์ของบริษัทน้ำมันระหว่างประเทศหลายร้อยแห่ง

"ผลิตภัณฑ์บางอย่างที่แปรรูปในโรงกลั่นในยุโรปจะยังคงมีน้ำมันของรัสเซียอยู่" Shell ระบุ "ในขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์หลายชนิด เช่น ดีเซล มักถูกผสม หมายความว่าสัดส่วนของของเหลวที่ผสมลงในท่อและแท็งก์ที่ป้อนให้กับอุตสาหกรรมทั้งหมดจะมีต้นกำเนิดจากรัสเซีย"

จูนีต คาซาโคกู หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์อุปสงค์น้ำมันของ FGE กล่าวว่าใน ARA น้ำมันรัสเซียที่ผสมแล้วอาจปรากฏในข้อมูลศุลกากรเช่นเดียวกับเชื้อเพลิงจากเนเธอร์แลนด์ "ผมคิดว่าหลายประเทศในยุโรปจะอ้างอิงว่านำเข้าจาก 'เนเธอร์แลนด์' เพื่อซ่อนที่มาของผลิตภัณฑ์รัสเซีย"

น้ำมันจาก ARA ไปไหนบ้าง?

ผู้ค้าน้ำมันกล่าวว่า สามารถส่งออกเชื้อเพลิงเหล่านี้อีกครั้งไปยังภูมิภาคและประเทศอื่น ซึ่งอาจขนส่งทางเรือไปยังปลายทางอื่นที่อยู่ภายในท้าเรือเดียวกัน หรือมุ่งหน้าลงแม่น้ำไรน์ไปยังสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ซึ่งสามารถซ่อนต้นกำเนิดของเชื้อเพลิงได้

จากศูนย์กลาง ARA ผลิตภัณฑ์น้ำมันสามารถกระจายผ่านระบบท่อส่งน้ำมันยุโรปกลาง (CEPS) ของนาโต ซึ่งเชื่อมโยงไปยังท่าเรือทางทะเล 6 แห่งและโรงกลั่น 11 แห่งทั่วทวีป รางรถไฟ 3 แห่ง สถานีบรรทุกรถบรรทุก 16 แห่ง และท่าอากาศยานนานาชาติ 6 แห่ง

"ถ้าไม่ใช่เจ้าของชาวรัสเซีย นอกจากใบรับรองแหล่งกำเนิดแล้ว (แต่แม้แต่ใบรับรองก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้) ก็ยากสำหรับคลังจัดเก็บในการระบุที่มาของผลิตภัณฑ์" เครียน ฟาน บีค นายหน้าของ ODIN-RVB Tank ในรอตเตอร์ดัมกล่าว

บริษัทต่างๆ ทำอะไรเพื่อให้เป็นไปตามสัญญา?

แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมกล่าวว่า ผู้ซื้อร้องขอให้มีการแจกแจงเกี่ยวกับแหล่งที่มาของน้ำมันผสมจากคลังเก็บน้ำมันมากขึ้น เพื่อตัดสินใจว่าพวกเขาจะยอมรับได้หรือไม่ แต่เอกสารต้นทางที่ตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างสมบูรณ์นั้นไม่พร้อมใช้งานในกรอบเวลาที่เหมาะสมเสมอไปก่อนที่จะทำข้อตกลง

ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าบางรายมีใบรับรองที่ระบุรายละเอียดสถานที่ผลิตหรือแปรรูปเชื้อเพลิง และแม้ว่าหน่วยงานศุลกากรของแต่ละประเทศจะสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวกับสินค้านำเข้าได้ แต่เอกสารดังกล่าวถือเป็นความลับ

ก่อนหน้านี้ Shell ได้จำแนกสินค้าที่มีต้นกำเนิดจากรัสเซียว่าเป็นสินค้าที่มีส่วนประกอบจากเชื้อเพลิงที่ผลิตในรัสเซียตั้งแต่ 50% ขึ้นไป แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท ได้เข้มงวดข้อจำกัดในการซื้อน้ำมันของรัสเซีย โดยกล่าวว่าจะไม่ยอมรับผลิตภัณฑ์กลั่นที่มีสารประกอบของรัสเซียอีกต่อไป รวมถึงเชื้อเพลิงผสมตามที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขาย

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวรายหนึ่งที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้เผยว่า ข้อจำกัดนี้มีผลเฉพาะกับแพลตฟอร์มที่บริษัทต่างๆ ได้รับอนุญาตให้สอดแทรกข้อกำหนดของตนเองได้ และจะไม่รวมสัญญาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้กับเครื่องดีเซลในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจากตลาดแลกเปลี่ยน (ICE) หลัก

อย่างไรก็ดี เบ็น ฟาน เบอร์เดน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Shell กล่าวว่า ไม่มีระบบใดในโลกที่สามารถสืบย้อนต้นกำเนิดของโมเลกุลรัสเซียในผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการกลั่นได้ "ดีเซลที่ออกมาจากโรงกลั่นของอินเดียที่ใช้น้ำมันดิบของรัสเซียถือเป็นดีเซลของอินเดีย"

แหล่งข่าวที่ค้าน้ำมัน 3 แหล่งเผยกับ Reuters ว่า ผู้ค้ารายอื่นบางคนอยู่ระหว่างพิจารณาว่าน้ำมันดีเซลผสม เช่น ที่มีดีเซลรัสเซียมากถึง 49% จะนับเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ของรัสเซียหรือไม่

REUTERS/Dado Ruvic/Illustration