posttoday

บดขยี้จีนเป็นเรื่องใหญ่ แข่งกีฬาเป็นเรื่องรอง

07 กุมภาพันธ์ 2565

บทความทัศนะ - นี่คือโอลิมปิกฤดูหนาวที่ถูกการเมืองแปดเปื้อนมากที่สุดครั้งหนึ่ง อย่างน้อยก็ตั้งแต่สงครามเย็น นับแต่ก่อนเริ่มการแข่งขันแล้วที่จีนถูกตราหน้าว่าเจ้าภาพที่ "มือเปื้อนเลือด"

ไม่ใช่คนทั่วโลกที่อินกับการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวอยู่แล้ว เพราะไม่ใช่ทุกที่ในโลกที่มีน้ำแข็ง มีหิมะ และสภาพที่หนาวเย็นพอที่จะแข่งกีฬาฤดูหนาว

ยิ่งเป็นคนไทยด้วยแล้ว ยิ่งแทบไม่สนใจ ต่อให้มีนักกีฬาทีมชาติไทยไป ก็ดูเหมือนจะได้รับความสนใจแค่เล็กน้อย

แต่โอลิมปิกฤดูหนาวที่ปักกิ่งคราวนี้ ดูเหมือนว่ากีฬาจะเป็นเรื่องรองมาตั้งแต่แรก เป้าหมายของบางชาตินั้นคือการใช้โอกาสมันโจมตีจีนแบบให้จมดิน อย่างที่เรารู้กันว่าสหรัฐและสมัครพรรคพวกบางประเทศรวมหัวกัน "คว่ำบาตร" ด้วยการไม่ส่งผู้แทนระดับสูงไปร่วมพิธีเปิด

แต่ตอนหลังถูกจับได้ว่าที่ไม่ส่งเพราะทนไม่ไหวกับกระบวนการกักกันโรคของจีนที่เข้มงวดและยาวนานจนน่าละเหี่ยใจมากกว่า เลยหาเรื่องสวมรอยด้วยการประกาศจุดยืน "ไม่เอาจีน" มันไปเลย

บางประเทศที่เป็นพันธมิตรสหรัฐร่วมขบวนด้วยในทันที โดยเฉพาะประเทศที่มีเรื่องกับจีนอยู่ก่อนแล้ว เช่น ออสเตรเลียและญี่ปุ่นที่นับวันยิ่งทำตัวขวางจีนถึงขนาดบอกว่าถ้าจีนบุกไต้หวันล่ะก็ ญี่ปุ่นก็จะช่วยไต้หวัน

แต่มีพันธมิตรบางพวกแบ่งรับแบ่งสู้ เช่น เกาหลีใต้ที่ส่งประธานสภานิติบัญญัติไปร่วมพิธีเปิดปักกิ่งเกมส์ นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด เพราะถึงไม่ส่งผู้แทนรัฐบาลไป แต่ยังอุตส่าห์ส่งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติที่ใหญ่ๆ พอกัน

เกาหลีใต้นั้นเพิ่งจะเคลียร์เรื่องคาใจกับจีนได้สำเร็จ การค้าการขายเพิ่งจะเริ่มกลับคืนสู่สภาพปกติ ซีรีส์เกาหลีที่เคยถูกแบนในจีนมาหลายปี ตอนนี้เริ่มไปฉายในจีนได้อีกครั้งเมื่อไม่กี่สัปดาห์นี่เอง ดังนั้นเกาหลีใต้จะหักหน้าจีนไม่ได้ แต่ก็จะไม่ทำตาม "พี่ใหญ่" ไม่ได้เหมือนกัน

ต่อไปประเทศต่างๆ คงจะต้องคิดกันหัวหกก้นขวิดแบบเกาหลีใต้ว่าจะคบจีนยังไงไม่ให้ลูกพี่โมโห

"ลูกพี่" รายนี้ถล่มจีนทั้งระดับรัฐบาลและระดับสื่อ แบบที่ว่าโอลิมปิกคราวนี้มันมีมลทินไม่ควรจะเอ่ยถึงในแง่ดีเอาเลย

ยกตัวอย่างกรณีที่สุดโต่งมากๆ เช่น Breitbart News ซึ่งเป็นสื่อขวาจัดสายนิยมทรัมป์ เรียกปักกิ่งเกมส์แบบไร้ปราณีว่า "Genocide Games" หรือเกมส์แห่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

ก่อนหน้านี้ก็มี "ผู้รู้มาก" ในโลกตะวันตกบางคนเรียกมันว่า “Genocide Olympics” การแปะฉลากให้ปักกิ่งเกมส์แบบนี้ก็เพื่อหาเรื่องคว่ำบาตรจีนและทำให้จีนขายหน้า ให้จีนไม่มีใครคบหา

"การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ที่บางประเทศเรียกนี้ เป็นการเรียกแบบเหมาเอาเองโดยไม่รอการนิยามองค์กรนานาชาติที่ไม่ได้เรียกการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียงว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อย่างมากก็แค่บอกว่าเป็นการกดขี่มนุษยชน หรือเป็นอาชญากรรรมต่อมนุษยชาติ

การใช้คำว่า "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" มีเจตนาเพื่อ "ทำให้จีนเป็นปีศาจ" หรืออย่างน้อยก็คือเป็นการกล่าวเกินกว่าเหตุเพื่อ "โดดเดี่ยวจีน"

ย้ำว่าไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องดำมืดในซินเจียง แต่มันเลวร้ายขนาดฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือไม่นั้น ควรให้สหประชาชาติชี้ขาดเอา ไม่ควรฟังจากประเทศที่เป็นคู่กรณีกับจีนแต่ฝ่ายเดียว

เพราะคนที่เรื่องกันมีแนวโน้มที่จะป้ายสีอีกฝ่ายเกินจริงเสมอ และยิ่งสหรัฐมีส่วนได้ส่วนเสียกับจีนเรื่องการค้า (เช่น หาเรื่องคว่ำบาตรฝ่ายจากซินเจียง) ทำให้การกล่าวหาของสหรัฐดูเหมือนการป้ายสีจนเกินไป

ต้องย้ำว่าไม่ได้หมายความว่าไม่มีการกดขี่สิทธิมนุษยชนในซินเจียง แต่การใช้มันเพื่อโจมตีทางการเมืองจะเป็นการลดทอนความน่าเชื่อถือ ถ้าเกิดว่าจีนทำการร้ายแรงต่อชาวอุยกูร์จริงๆ

อย่างที่ เจฟรีย์ ดี. แซคส์ (Jeffrey D. Sachs) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบียและวิลเลียม สกาบัส (William Schabas) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยมิดเดิลเซกส์ เขียนในบทความชื่อ "ข้อกล่าวหาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในซินเจียงนั้นไม่ยุติธรรม" ว่า

"ไม่ควรกล่าวหาเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างลอยๆ การใช้คำอย่างไม่เหมาะสมอาจเพิ่มความตึงเครียดทางการเมืองและการทหาร และลดคุณค่าของความทรงจำในอดีตของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว (Holocaust) ซึ่งขัดขวางความสามารถในการป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในอนาคต รัฐบาลสหรัฐจำต้องตั้งข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยความรับผิดชอบ ซึ่งไม่ได้ทำเช่นนั้นในกรณีนี้"

สิ่งที่สหรัฐทำในตอนนี้จึง 1. ลดทอนปัญหาในซินเจียงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง (ซึ่งหากมีปัญหาร้ายแรงจริงๆ เท่ากับสหรัฐทำให้มันเลวร้ายลงด้วย) และ 2. สหรัฐใช้ข้อหานี้เพื่อทำให้จีนซึ่งเป็นศัตรูกลายเป็นปีศาจ (Demonizing the enemy) ในสายตาชาวโลก

การทำให้จีนเป็นปีศาจยังลามไปถึงสื่ออเมริกันเองในระดับที่เลวร้าย อย่างเช่น กรณีของ Breitbart News ซึ่งในแง่หนึ่งมันยังพอเข้าใจได้ เพราะสื่อขวาจัดรายนี้ "คลั่งชาติจัด" และ "แรงจัดกับจีน" เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

แต่ที่ประหลาดคือ สื่อที่น่าจะทำตัวเป็นกลางดันผสมโรงไปด้วยในอัตราที่ "แรงจัด" พอๆ กัน เช่น Slate ที่ถือเป็นหัวก้าวหน้า บทความเรื่อง "พิธีเปิดของจีนยั่วโลก NBC จะทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?" แค่พาดหัวก็แสดงให้เห็นแล้วว่าผู้เขียนไม่คิดว่าจีนมีเจตนาดีแม้แต่ในพิธีเปิดโอลิมปิก เพราะหนึ่งในผู้ถือคบเพลิงเป็นชาวอุยกูร์

ผู้เขียนบทความนี้ไปไกลถึงขนาดบอกว่า "มันเป็นช่วงเวลาที่ต้องอ้าปากค้าง ราวกับว่าเยอรมนีได้เลือกนักโทษดาเคาเพื่อจุดคบเพลิงในโอลิมปิกเบอร์ลินปี 1936"

นี่เท่ากับเปรียบเทียบปักกิ่งเกมส์กับเบอร์ลินเกมส์ที่อื้อฉาว เทียบชาวอุยกูร์กับชาวยิว และเทียบจีนกับนาซี มันเป็นการกล่าวหาที่รุนแรงเอามากๆ

แต่ว่ากันจริงๆ ตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ตอนที่ฮิตเลอร์จัดเบอร์ลินเกมส์ปี 1936 ค่ายกักกันดาเคายังไม่ได้กักกันชาวยิวเป็นหลัก เกือบทั้งหมดเป็นคนเยอรมันที่เป็นนักโทษการเมือง กว่าที่มันจะใช้กักกันชาวยิวเพื่อฆ่าล้าเงผ่าพันธุ์ก็ล่วงเข้าปี 1938 เป็นต้นมา

นี่คือตัวอย่างของการเกลียดจีนแบบหน้ามืด จนบิดเบือนหรือพลาดพลั้งเรื่องข้อเท็จจริงไป

ตรงกันข้ามกับสถานการณ์ที่บทความนี้อ้างถึง คือการบรรยาของผู้ดำเนินรายการของ NBC ในพิธีเปิดปักกิ่งเกมส์ที่แสดงปฏิกิริยาเมื่อได้เห็นชาวอุยกูร์ถือคบเพลิง ซึ่งหนึ่งในนั้นบอกว่า “เป็นคำประกาศของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน ที่เลือกนักกีฬาจากชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ เป็นการตอบโต้แบบซึ่งหน้าต่อชาติตะวันตกเหล่านั้น รวมทั้งสหรัฐ ผู้ซึ่งเรียกการปฏิบัติของจีนต่อคนกลุ่มนั้นว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และคว่ำบาตรการแข่งขันทางการทูตเหล่านี้ จะมีการอภิปรายมากมายเกี่ยวกับตัวเลือก (ชาวอุยกูร์ที่ถือคบเพลิง) นี้”

แล้วก็มีการอภิปรายกันจริงๆ แต่ อเล็ก โล (Alex Lo) ผู้สื่อข่าวอาวุโสแห่ง South China Morning Post ชี้ว่าแม้แต่ The New York Times (ที่โจมตีจีนเป็นกิจวัตร) ก็ยังทำมึนเพื่อรู้ว่ามีชาวอุยกูร์ถือคบเพลิง โดยใช้คำว่าคนๆ นั้นมีชื่อ "ฟังดูเหมือนอุยกูร์" แทนที่รับไปตรงๆ ว่านี่คือคนอุยกูร์จริงๆ

สงสัยว่าถ้ายอมรับกันตรงๆ มันจะทำให้สื่อตะวันตกพวกนี้ต้องรื้อ "เรื่องเล่า/คำอธิบาย" (Narrative) กับข้อกล่าวหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันใหม่ รวมถึงความพยายามที่จะทำให้จีนเป็นปีศาจ

เหมือนกับที่ ศ. แซคส์และศ . สกาบัส เตือนไว้ข้างต้นว่าถ้าสหรัฐใช้ข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างลอยๆ คือไม่ตั้งใจที่จะชาวชาวอุยกูร์จริงๆ แต่หวังทางการเมืองมากกว่า มันจะทำให้การเจรจาทางการทูตเสียหาย พูดก็คือต่อไปจะคุยกันไม่รู้เรื่องกับจีน ทำลายวิถีทางการทูต และนำไปสู่การเผชิญหน้า

คาร์ล ฟ็อน เคลาเซอวิทซ์ (Carl von Clausewitz) นักทฤษฎีการทหารผู้ยิ่งใหญ่ชาวปรัสเซียกล่าวไว้ใน "ว่าด้วยการสงคราม" (On War) ว่าการทำให้อีกฝ่ายเป็นปีศาจนั้น "บีบให้ฝ่ายตรงข้ามทำตาม และการตอบโต้กันจะเริ่มขึ้น ซึ่งในทางหลักการแล้วไม่แคล้วจะนำไปสู่ความสุดโต่ง"

และก็เป็นเคลาเซอวิทซ์อีกเหมือนกันที่บอกว่า "สงครามจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากการนิยามภาพลักษณ์ของศัตรูให้ชัดเจน"

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน

Photo by Anthony WALLACE / POOL / AFP