posttoday

ชาวเมืองรุ่ยลี่ของจีนทนไม่ไหวพากันอพยพหนีล็อกดาวน์สุดเข้ม 

06 พฤศจิกายน 2564

เปิดเรื่องเล่าอีกมุมหนึ่งจากปากของชาวเมืองรุ่ยลี่ที่ถูกล็อกดาวน์เข้มและบ่อยที่สุดเพราะอยู่ติดเมียนมา

บทความของสำนักข่าว New York Times ตีแผ่ความจริงอีกแง่มุมหนึ่งของชาวเมืองรุ่ยลี่ เมืองเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนซึ่งน่าจะเป็นพื้นที่ที่ถูกล็อกดาวน์เข้มงวดมากที่สุดในจีนหรืออาจจะในโลก เนื่องจากมีพรมแดนติดกับเมียนมาและมีผู้ติดเชื้อเล็ดลอดเข้ามา

New York Times ระบุว่า ในรอบปีที่ผ่านมาเมืองรุ่ยลี่ถูกล็อกดาวน์ 4 ครั้ง โดยมีครั้งหนึ่งนานถึง 26 วัน บ้านเรือนทั้งหมดถูกเคลื่อนย้ายโดยไม่มีกำหนดเพื่อสร้าง “เขตกันชน” ป้องกันไม่ให้ Covid-19 จากเมียนมาเล็ดลอดเข้าไป ขณะที่โรงเรียนต้องปิดมานานหลายเดือน ยกเว้นบางโรงเรียนบางชั้นที่นักเรียนและครูยังอยู่ที่โรงเรียน

เมืองรุ่ยลี่ต้องพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวและการค้าชายแดนกับเมียนมา การปิดพรมแดนนานๆ จึงทำให้เศรษฐกิจชะงัก ชาวบ้านหลายคนขาดรายได้มาหลายเดือนแล้ว ทั้งยังต้องตรวจหาเชื้อกันแทบจะทุกวัน

หลิวปิน ชาวเมืองรุ่ยลี่วัย 59 ปีซึ่งเป็นนายหน้านำเข้าส่งออกสินค้าสูญเสียรายได้กว่า 150,000 เหรียญสหรัฐเผยกับ New York Times ว่า “ทำไมชีวิตผมต้องถูกบีบคั้นขนาดนี้ ชีวิตผมก็สำคัญ ผมทำตามมาตรการควบคุมโรคระบาดอย่างเข้มงวด คนธรรมดาอย่างพวกเราต้องทำอะไรอีกถึงจะผ่านมาตรฐาน”

New York Times ระบุว่า ตอนนี้จีนเป็นเพียงประเทศเดียวที่ยังคงมาตรการควบคุม Covid-19 ให้เป็นศูนย์ (Zero Covid) และชาวเมืองรุ่ยลี่ซึ่งมีประชากรราว 270,000 ช่วงก่อน Covid-19 ระบาด ต้องเผชิญกับนโยบาย Zero Covid ที่เข้มงวดและสุดขั้วที่สุดแม้ว่าจะพบผู้ติดเชื้อเพียงรายเดียวก็ตาม

ขณะที่เมืองอื่นๆ ของจีนอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์แบบจำกัดพื้นที่และคงอยู่ไม่กี่สัปดาห์ แต่ที่เมืองรุ่ยลี่ในปีที่ผ่านมาต้องเจอกับการล็อกดาวน์ที่ยืดเยื้อ ประชาชนต้องกักตัวอยู่ภายในบ้านครั้งละหลายสัปดาห์

หรือแม้แต่ในช่วงช่องว่างระหว่างการประกาศล็อกดาวน์อย่างเป็นทางการชาวบ้านยังไม่สามารถออกไปทานอาหารที่ร้าน ส่วนธุรกิจหลายๆ อย่างยังคงปิดทำการ

ผู้ให้บริการขับขี่รถของแอพพลิเคชั่นเรียกรถรายหนึ่งเผยกับสื่อของรัฐบาลจีนว่า ช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาเขาต้องตรวจหาเชื้อถึง 90 ครั้ง และผู้ปกครองอีกรายหนึ่งเผยว่า ลูกชายวัย 1 ขวบของเขาผ่านการตรวจมาแล้ว 74 ครั้ง

New York Times ระบุว่า ชาวบ้านนับหมื่นคนพากันอพยพออกจากหมู่บ้านไปยังเมืองอื่นในช่วงที่ผ่อนคลายล็อกดาวน์ก่อนจะกลับมาล็อกใหม่อีกครั้ง โดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพิ่งทราบว่าประชากรลดลงเหลือราว 200,000 คนเท่านั้น

หลังจากนั้นทางการเมืองรุ่ยลี่จึงสกัดการอพยพออกนอกพื้นที่ด้วยการออกคำสั่งให้คนที่จะออกจากพื้นที่ต้องออกค่าใช้จ่ายกักตัว 21 วันก่อนออกเดินทางเอง

ท่ามกลางความสิ้นหวังของชาวเมือง ไต้หรงหลี่ อดีตรองนายกเทศมนตรีเมืองรุ่ยลี่ถึงกับเขียนบล็อกระบายความอัดอั้นในหัวข้อ “รุ่ยลี่ต้องการการดูแลจากมาตุภูมิ” ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าทึ่งในประเทศที่ข้าราชการมักจะไม่ทำตัวแตกแถวหรือขัดคำสั่งรัฐบาล

“ทุกครั้งที่เมืองนี้ถูกล็อกดาวน์มันคืออีกตัวอย่างหนึ่งของการสูญเสียทางอารมณ์และทางวัตถุอย่างร้ายแรง” อดีตเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวดังกล่าวระบุ “ทุกประสบการณ์ในการต่อสู้กับไวรัสคือการสั่งสมความคับข้องใจเพิ่มขึ้น”

ไต้หรงหลี่ระบุต่อว่า “โรคระบาดได้ปล้นเมืองนี้ไปครั้งแล้วครั้งเล่า และยังดูดเอาร่องรอยสุดท้ายแห่งชีวิตออกไป การล็อกดาวน์ระยะยาวทำให้การพัฒนาของเมืองนี้ต้องหยุดชะงัก การกลับมาเดินหน้าการผลิตและดำเนินธุรกิจที่จำเป็นถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด”

ขณะที่ชาวเมืองรุ่ยลี่ได้โพสต์ภาพและบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง เช่น ไม่สามารถไปเยี่ยมญาติที่เจ็บป่วย หรือถ่ายคลิปขณะเดินไปตามถนนที่ร้างผู้คน ร้านรวงต่างๆ และร้านอาหารพากันปิด ผ่านโซเชียลมีเดียซึ่งมีการแชร์ออกไปเป็นวงกว้าง

สื่อรัฐบาลจีนรายงานว่า ช่วงเดือนที่ผ่านมาเมืองรุ่ยลี่พบผู้ติดเชื้อในประเทศที่แสดงอาการเพียง 5 ราย ขณะที่ประชาชนกว่า 96% ในเมืองและพื้นที่ใกล้เคียงได้รับวัคซีนแล้ว และไม่มีการพบเชื้อในชาวเมืองรุ่ยลี่ที่เดินทางออกไปยังพื้นที่อื่นในจีน

ถึงกระนั้นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นยังยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงมาตรการต่างๆ มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก

หยางโหมว รองนายกเทศมนตรีเมืองรุ่ยลี่เผยเมื่อวันที่ 29 ต.ค. ว่า “หากการระบาดของรุ่ยลี่ไม่เป็นศูนย์ก็มีความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อออกไปภายนอก”

จินตงเยี่ยน นักไวรัสวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮ่องกงเผยกับ New York Times ว่า รุ่ยลี่คือตัวอย่างที่ดีของความดื้อรั้นของรัฐบาลจีนในการรับมือโรคระบาด นับตั้งแต่เกิดการระบาดรัฐบาลก็สั่งล็อกดาวน์และระดมตรวจเชิงรุกเหมือนกันหมดโดยไม่พิจารณาวิธีอื่นที่ได้ผลซึ่งเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าเลย

New York Times ระบุอีกว่า เมืองรุ่ยลี่คือเมืองที่มีความเปราะบางต่อทั้งไวรัสและภาระต่างๆ ของการล็อกดาวน์ ด้วยความที่ตั้งอยู่ในมุมของมณฑลยูนนาน จึงมีพรมแดนติดกับเมียนมายาวกว่า 160 กิโลเมตร และเป็นช่องทางเข้าออกของทั้งนักท่องเที่ยวและการค้าขาย

เมื่องทางการสั่งปิดพรมแดน การค้าและการท่องเที่ยวจึงพังไม่เป็นท่า ถึงอย่างนั้นพรมแดนขอเมืองรุ่ยลี่ก็ยังมีช่องโหว่ที่อาจทำให้เชื้อเล็ดลอดเข้าไปได้

อีกทั้งการก่อรัฐประหารในเมียนมายังทำให้ชาวเมียนมาหลายคนลี้ภัยเข้าไปในเมืองทั้งถูกและผิดกฎหมาย จึงมีโอกาสที่จะพาเชื้อจากเมียนมาเข้าไปในรุ่ยลี่

Photo by STR / AFP