posttoday

เพื่อนบ้านฟื้นไว ทำไมเศรษฐกิจไทยยังมืดมน

29 มิถุนายน 2564

อะไรที่เป็นสาเหตุของ 'โศกนาฏกรรมสยาม'? เพราะรัฐบาลล้มเหลว เพราะการพึ่งพาบางอุตสาหกรรมมากเกินไป หรือเพราะไทยหมดวาสนาแล้ว?

ไม่น่าแปลกใจเมื่อนายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานเสวนา “ฟ้าหลังฝน มิติใหม่ท่องเที่ยวไทย ว่า ธปท. คาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยต้องใช้เวลา และอาจจะต้องรอถึงไตรมาส 1/2566 กว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวได้ในระดับก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19"

ยิ่งโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ๆ ทำให้ประเทศไทยลักปิดลักเปิดอยู่แบบนี้เห็นทีจะกอบกู้สถานการณ์ได้ยาก

การที่รัฐบาลใช้วิธีที่ไม่เคลียร์เดี๋ยวจะล็อคก็ไม่ล็อค คำสั่งก็ขัดแย้งกันเองหลายครั้ง ทำให้ประชาชนสับสน คนต่างชาติไม่รู้ทำตัวแบบไหนดี มีเพจข่าวไทยในภาษาจีนแหล่งหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นเสียงสะท้อนของคนต่างชาติได้บอกว่า คนจีนรู้สึกงงกับรัฐบาลไทยว่าจะล็อคหรือไม่ล็อค เทียบกับรัฐบาลจีนแล้วก็ล็อคไปเลยหรือไม่ล็อคก็ประกาศให้ชัด

คนจีนว่าไว้ก็ถูก ไม่ใช่เหยียบเรือสองแคมแบบนี้ เป็นส่วนสัญญาณไปถึงคนต่างชาติภายนอกประเทศว่าเมืองไทยไว้ใจไม่ได้ ต่อให้ทำ Phuket sandbox แล้วใครเข้าจะมั่นใจได้ ไม่ใช่ว่ามาถึงไทยแล้วรัฐบาลเปลี่ยนใจอีกเล่า?

ผู้เขียนเข้าใจว่ารัฐบาลกลัวว่าจะล็อคดาวน์เด็ดขาดแล้วเศรษฐกิจจะพังนั่นเอง แต่ถ้าไม่ล็อคคนก็จะล้มป่วยกันมากมาย โจทย์แบบนี้ตีให้แตกได้ยาก แต่อย่างน้อยก็ควรบอกให้มันกระชับ ชัดเจน และเด็ดขาดสักหน่อยว่าคิดจะทำอะไรบ้าง

ผู้เขียนได้ยินมาว่าคนจีนอยากจะกลับมาเที่ยวเมืองไทยใจจะขาด อะไรที่เป็นของไทยๆ ตอนนี้เป็นที่นิยมในจีนมากเพราะคนจีนคิดถึงของไทยๆ และเที่ยวในไทย อย่างไม่กี่วันก่อนมีแฮชแท็กเทรนดิ้งในโซเชียลมีเดียของจีน แชร์เรื่องการการทำอาหารไทยโดยใช้กุ้ง ซึ่งในโซเชียลจีนจะมีการแท็กเรื่องไทยแบบนี้เป็นระยะ

ต่อให้คนไทย (บางคน) เบื่อทัวร์จีนมากแค่ไหนก็ตาม แต่ผู้เขียนเชื่อว่าในวงการท่องเที่ยวตอนนี้อยากจะรับทัวร์จีนใจจะขาดแล้ว

แต่เกรงว่ามันจะไม่ง่ายแบบนั้นเพราะ 1. เดลตากำลังอาละวาด และ 2. รัฐบาลเริ่มเมาหมัด

การที่ ธปท.มองไปถึงปี 2566 นั้นไม่เกินเลยไปจากความจริง อาจจะต่ำกว่าความเป็นจริงเสียด้วยซ้ำเพราะเราไม่รู้ว่าโควิด-19 จะแตกแขนงเป้นสายพันธุ์ที่ดุร้ายกว่านี้หรือไม่

เศรษฐกิจไทยมืดมนสิ้นหวังเพราะพึ่งพาการท่องเที่ยวมากเกินไป จะหวังให้รัฐบาลกำหนดวิสัยทัศน์ระยะยาวเพื่อเลิกพึ่งการท่องเที่ยวก็คงยาก เพราระยะสั้นยังเอาไม่อยุ่ และไทยต้องการเงินจากการท่องเที่ยวมาฟื้นฟูประเทศ

หันมามองที่เพื่อนบ้าน ในวันที่บทความนี้เขียนขึ้น สำนักงานสถิติทั่วไปของเวียดนามรายงานว่าเศรฐกิจของเวียดนามขยายตัว 6.61% ในเดือนเมษายน-มิถุนายน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า 4.65% สำหรับครึ่งปีแรกเติบโต 5.64% สอดคล้องกับความคาดหวังของรัฐบาล

เศรษฐกิจเวีดยนามขยายตัว 2.91% ในปี 2020 นับเป็นตัวเลขที่แย่ที่สุดในรอบกว่า 3 ทศวรรษ แต่ก็ตั้งเป้าไว้ที่อัตรา 6.5% ในปีนี้

สำนักข่าว AFP รายงานว่า "ประเทศนี้ (เวียดนาม) เป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในเอเชียมานานแล้ว และเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่ขยายตัวในปีที่แล้วหลังจากประสบความสำเร็จในการควบคุมไวรัสที่เลวร้ายที่สุด"

เทียบกับไทยแล้วช่างน่าหดหู่ เมื่อไม่กี่วันก่อน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอีกครั้งสำหรับปีนี้เป็น 1.8% จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 3% อันเนื่องมาจากประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงและอุปสงค์ภายในประเทศที่ลดลงเนื่องจากคลื่นลูกที่สามของโควิด-19

ธปท. ยังปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจสำหรับปี 2565 จาก 4.7% เหลือ 3.9%

ขณะที่จากการประเมินประจำปีล่าสุดของ IMFคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยจะเติบโตที่ 2.6% ในปี 2564 แต่ไม่น่าว่าในอนาคต IMF อาจต้องปรับคาดการณ์เหมือนกันเพราะ ธปท. ก็เพิ่งปรับไป

ตราบใดที่เราหวังเงินจากการท่องเที่ยว ตัวเลขเศรษฐกิจจะคึกคักแบบเวียดนามเห็นจะเป็นไปได้ยาก (และจะเปลี่ยนไปดึงเงินจากแหล่งอื่นก็ยากเช่นกันในเวลานี้)

มาดูการประเมินของ IMF ว่าเขามองเศรษฐกิจไทยอย่างไรจากรายงานเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2021 ข้อแรกบอกเลยว่าเป็นเพราะผลกระทบจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

"การระบาดใหญ่ทำให้กระแสการท่องเที่ยวหยุดชะงักลงอย่างกะทันหันและกิจกรรมทางเศรษฐกิจหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ จีดีพีของประเทศไทยลดลง 6.1% ในปี 2563 ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินในเอเชีย ภาคการท่องเที่ยวซึ่งมีสัดส่วนประมาณหนึ่งในห้าของจีดีพีและ 20% ของการจ้างงาน ได้รับผลกระทบเป็นพิเศษจากการหยุดการเดินทางของนักท่องเที่ยว"

IMF ชี้ว่าไทยพึ่งพาเศรษฐกิจภาค Contact-intensive sectors มากเกินไป ซึ่งประมินได้ว่านี่คือ "จุดอ่อน" เพราะมันคือธุรกิจที่ต้องสัมผัส/พบปะกับผู้คน เช่น งานบริการประเภทต่างๆ การท่องเที่ยว ความงามและสุขภาพ ไปจนถึงการบิน ธุรกิจจำพวกนี้ชะงักงันอย่างถึงที่สุดเพราะโลกเข้าสู่ภาวะ Contactless ที่ต้องสัมผัส/พบปะกันให้น้อยที่สุดเพื่อละการระบาด IMF ระบุว่า

"การที่ไทยต้องพึ่งพาภาคส่วนติดต่อเข้มข้น (Contact-intensive sectors) และปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีมายาวนาน เช่น ความไม่เป็นทางการสูง (ในทางเศรษฐกิจหรือเศรษฐกิจนอกระบบ) ซึ่งปรากฏชัดก่อนการระบาดใหญ่ ถือเป็นแรงผลักดันอย่างมากให้ไทยต้องปรับตัวเศรษฐกิจให้เข้ากับโลกหลังเกิดโรคระบาด การขยายขนาดการลงทุนเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล รวมกับการปรับปรุงผลการฝึกอบรมและการศึกษา และการส่งเสริมนวัตกรรมจะกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของเศรษฐกิจ และลดความเสียหายทางเศรษฐกิจในระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นจากการระบาดใหญ่"

ในบทความก่อนหน้านี้ของผู้เขียน (รัฐบาลไร้น้ำยากับประชาชนทำตามใจชอบ จะโทษใครดี?) ได้ชี้ถึงปัญหาเดียวกับที่ IMF ระบุไว้คือประเทศมีเศรษฐกิจสีดำหรือเศรษฐกิจไม่เป็นทางการ/นอกระบบสูงมาก ทำให้จัดการอะไรได้ลำบาก หนทางเดียวที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนก็คือต้องทำให้เกิดการ Disruption ในธุรกิจที่เป็นความหวังของประเทศ เรายังต้องการเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวแต่จะต้องไม่พึ่งพามันมากเกินไปจนประเทศเป็นอัมพาตหากเกิดภาวะ Contactless แบบนี้อีก

หันมาดูที่เวียดนามกันบ้างว่า IMF มองแบบไหน? บทความเมื่อเดือนมีนาคมของ IMF พาดหัวว่า "เวียดนาม: ประสบความสำเร็จในการหลีกเลี่ยงโรคระบาด" พร้อมกับโปรยสรุปว่า "แม้จะมีโควิด-19 แต่เศรษฐกิจของเวียดนามยังคงมีความยืดหยุ่น โดยขยายตัว 2.9% ในปี 2020 ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในโลก และคาดว่าการเติบโตจะอยู่ที่ 6.5% ในปี 2564 ด้วยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง มาตรการควบคุมที่เด็ดขาด และการกำหนดเป้าหมายการสนับสนุนจากรัฐบาลที่ดี ตามการประเมินเศรษฐกิจของประเทศประจำปีล่าสุดของไอเอ็มเอฟ"

IMF ระบุว่าเวียดนามมีความ "ยืดหยุ่น" หรือเอาตัวรอดได้ดี (resilient) ซึ่งคำๆ นี้แต่ก่อนแต่ไรมักใช้กับประเทศไทย แต่เดี๋ยวนี้เศรษฐกิจไทยไม่ค่อยจะ resilient เสียแล้ว

การประเมินนี้ทำไว้เมื่อเดือนมีนาคมก่อนที่เวียดนามจะ "ด่านแตก" ในเดือนพฤษภาคม กระนั้นก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจของเวียดนามที่ออกมาในเดือนมิถุนายนก็ยังดี เพราะ (IMF ระบุว่า) "การลงทุนจากต่างประเทศที่แข็งแกร่งและการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดช่วยเสริมความแข็งแกร่งของความยืดหยุ่นภายนอก สุขภาพของระบบธนาคารดีขึ้น โดยมีผลกำไร สภาพคล่องสูงขึ้น และสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้น้อยกว่าในอดีต"

และ "การก่อตัวของตัวรับแรงกระแทกทางการคลัง (ซึ่งช่วยหนุนความมั่นคงทางการคลัง) ปัจจัยภายนอก (การลงทุนจากต่างประเทศ) และความแข้งแกร็งทางการเงินเหล่านี้ก่อนเกิดการระบาดใหญ่ทำให้เวียดนามมีความยืดหยุ่นมากขึ้นเมื่อต้องพบกับภาวะช็อค"

ในบทความเดียวกันนี้ยังนำกราฟการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชียมาประกอบ (จาก World Economic Outlook Database) ปรากฎว่าเวียดนามขยายตัวมากที่สุดและมากกวาจีน ทั้งสองเป็นประเทศในเอเชียแค่นี้เท่านั้นที่เศรษฐกิจไม่ติดลบ

ประเทศที่ติดลบมากที่สุดคือไทย สิงคโปร์นั้นเจ็บหนักรองจากไทย

แต่ตอนนี้สิงคโปร์กำลังเร่งฉีควัคซีนและรอจังหวะที่จะเปิดประเทศ (ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายแม้จะฉีดวัคซีนในวงกว้างแล้ว เพราะโลภายนอกยังลุ่มๆ ดอนๆ) จากการประเมินของ Maybank Kim Eng ให้สิงคโปร์ปีหน้าโตถึง 6.2% ซึ่งโตพอๆ กับเวีดยนาม และมากกว่าไทยเกือบครึ่งหนึ่ง

Maybank ยังชี้ว่าหลังจากการะบาดใหญ่าสิงคโปร์จะเปลี่ยนไป "Singapore Core" คือการพึ่งพาตัวเองมากขึ้น ลดการพึ่งพาแรงงานตางชาติให้น้อยลง สร้างแรงงานคนสิง๕โปร์แท้ๆ ให้เป็นที่พึ่งของชาติ ซึ่งแนวทางนี้จะเร่งให้เกิดการขยายเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคม เช่น การประกันการว่างงานและรูปแบบค่าจ้างที่ก้าวหน้าขึ้น เพราะสิงคโปร์จะเป็นของคนสิงคโปร์จริงๆ ไม่ใช่ที่มาโกยเงินแล้วจากไป

เราจจะเห็นว่าเวียดนาม จีน และสิงคโปร์เน้นหนักในเรื่องพึ่งพาตัวเองอย่างมาก แต่เมืองไทยยังคงเน้นในเรื่องพึ่งต่างชาติดูอย่าง Phuket sandbox นั่นปะไร ยังไม่นับปัญหาจากแรงงานต่างด้าวทั้งที่เถื่อนและไม่เถื่อนที่พัวพันกับการเกิดคลัสเตอร์หลายครั้งแล้ว

ถามว่ารัฐบาลไทยคิดเรื่อง "Thailand Core" เอาไว้บ้างหรือไม่? เราจะเดินบนเส้นทางไหนในอนาคตหลังโควิด? จะพึ่งท่องเที่ยวต่อไหม? หรือรับแรงงานเพื่อนบ้านมามากๆ อีกหรือไม่ จนเป็นปัญหาในระหวางการระบาดอย่างที่เห็น หรือจะแหวกตัวเองออกจากร่างเดิมๆ กลายเป็นไทยแลนด์สายพันธุ์แกร่งแห่งอนาคต?

รู้สึกว่ายังไม่มีคำตอบจากทำเนียบ

กรกิจ ดิษฐาน

Photo by Jack TAYLOR / AFP

ข่าวล่าสุด

ก.ล.ต. มีคำสั่งอายัดทรัพย์สิน JKN หลังศาลยกคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ