วิจัยเผยโควิดสายพันธุ์อังกฤษไม่รุนแรงอย่างที่คิด
หลายคนกังวลเมื่อพบว่าโควิดสายพันธุ์อังกฤษมาถึงไทยแล้ว แต่นักวิจัยยืนยันว่าแม้จะติดต่อกันง่ายขึ้น แต่ไม่ส่งผลต่อความรุนแรงของโรค พร้อมเชื่อมั่นวัคซีนยังคงมีประสิทธิภาพ
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานผลการศึกษาใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ The Lancet Infectious Diseases เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ระบุว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่พบในสหราชอาณาจักรซึ่งสามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้านั้นไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมากขึ้นแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าว (B.1.1.7) ถูกพบในสหราชอาณาจักรเมื่อปลายปีที่แล้วและกลายมาเป็นสายพันธุ์ที่พบมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาเนื่องจากความสามารถในการแพร่ระบาดมากขึ้นประมาณ 40% ถึง 70%
การศึกษาได้วิเคราะห์กลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 496 รายที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของอังกฤษในช่วงเดือนพ.ย. ถึงธ.ค. ปีที่แล้ว โดยทำการเปรียบเทียบผู้ป่วยที่ติดเชื้อ B.1.1.7 และไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ พบว่าไม่มีความแตกต่างกันในด้านความรุนแรงของโรคตลอดจนความเสี่ยงในการเสียชีวิต
นักวิจัยระบุว่าข้อมูลจากการศึกษาทำให้มั่นใจได้ในเบื้องต้นว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ B.1.1.7 จะไม่ได้มีอาการป่วยรุนแรงไปมากกว่าผู้ป่วยโควิด-19 จากเชื้อไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ
ขณะที่งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ The Lancet Public Health พบว่าวัคซีนต้านโควิด-19 ที่มีอยู่มีแนวโน้มว่ายังคงมีประสิทธิภาพในการต้านไวรัสสายพันธุ์อังกฤษ (B.1.1.7) เนื่องจากอัตราการติดเชื้อซ้ำไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับไวรัสสายพันธุ์อื่น
รวมถึงผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ออกมายืนยันว่าต้องใช้เวลาหลายปีไม่ใช่เพียงไม่กี่เดือนกว่าที่ไวรัสจะมีวิวัฒนาการพอที่จะทำให้วัคซีนในปัจจุบันไร้ประสิทธิภาพ
หนึ่งในนั้นคือเจสซี่ บลูม นักชีววิทยาวิวัฒนาการจากศูนย์วิจัยมะเร็งเฟร็ด ฮัตชินสัน ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า "แน่นอนว่าการการพันธุ์เหล่านี้กำลังแพร่กระจาย และแน่นอนว่าบรรดานักวิทยาศาสตร์ต้องตรวจสอบการกลายพันธุ์เหล่านี้รวมถึงผลกระทบ"
อย่างไรก็ตามเธอยืนยันว่า "ไม่ควรกังวลว่าการกลายพันธุ์เพียงครั้งเดียวจะทำให้ภูมิคุ้มกันและแอนติบอดีทั้งหมดไร้ประโยชน์ เพราะนั่นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาหลายปี และต้องมีการสะสมของการกลายพันธุ์ของไวรัสหลายๆ ครั้ง แม้แต่ไวรัสไข้หวัดใหญ่ยังต้องใช้เวลา 5 ถึง 7 ปีกว่าที่จะกลายพันธุ์จนสามารถยับยั้งการป้องกันของภูมิคุ้มกันทั้งหมดได้"
Photo by Jon Super / POOL / AFP